วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

13 ข้อที่คนชอบหลงผิดเกี่ยวกับ SEX & LOVE

ก่อนจะพูดอะไรไปผู้เขียนต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าคอลัมน์นี้มีจุดมุ่งหมายจะช่วยชี้แนะคนที่มีคู่และปรารถนาจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคู่ให้อยู่ยั่งยืนนาน บนความจริงที่ว่า ความรักและเซ็กส์เป็นอารมณ์พื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์และมีผลต่อสุขภาพกายและจิตโดยตรง อย่าได้กล่าวหาว่าเราทำตัวทะลึ่งตึงตังหาเรื่องหยิบเอาเรื่องในมุ้งมาปอกเปลือกจนเห็นเนื้อในเลยนะครับ
จริงๆ แล้วปัญหาของคู่ชีวิตกับเซ็กส์นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก และมีผลไปสู่การดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ อย่างที่คนมีคู่คงจะรู้แจ้งแก่ใจดีอยู่แล้ว หลายปัญหามักมีที่มาจากความเข้าใจผิดๆ ที่คุณอาจเคยได้ฟังมาแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ ลองมาดูว่าใน 13 ข้อเข้าใจผิดที่นักจิตวิทยารวบรวมได้นี้ ข้อไหนตรงกับความคิดของคุณบ้าง แล้วลองเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ นำไปใช้พัฒนาชีวิตคู่ของคุณให้ราบรื่นขึ้นกว่าเดิม 1. รักแท้จะต้องเป็นรักครั้งแรกเท่านั้น : ในวันนี้ที่คุณใช้ชีวิตคู่อยู่กับคนที่คุณเลือกแล้ว แต่ก็ยังไม่วายถวิลหาหนุ่ม (หรือสาว) คนแรกที่คุณหลงรักจนหัวปักหัวปำ เพราะใจน่ะพร่ำบอกตัวเองแต่ว่ารักนั้นเป็นรักแรกต้องเป็นรักแท้แน่นอน แท้ที่จริงแล้วคุณกำลังปิดประตูใส่กลอนหัวใจตัวเองใส่หน้าคู่ชีวิตปัจจุบันของคุณอยู่หรือเปล่า ลองคิดดูดีๆ ว่าใครกันที่อยู่เคียงข้างกับคุณในวันนี้ เวลานี้ และเป็นคนที่คุณควรจะมีความสุขด้วยกัน อย่าให้ความเชื่อเข้าข้างตัวเองอย่างไร้เหตุผลมาทำลายชีวิตคู่ปัจจุบันของคุณเองเลยครับ หันมาใส่ใจ ให้ความสุขกับคนข้างกายให้เต็มที่เพื่อวันนี้และวันหน้าจะดีกว่า 2. น่าเกลียดถ้าผู้หญิงบอกรักผู้ชาย : สังคมที่เปลี่ยนไปในวันนี้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องปิดปากเงียบปล่อยให้ผู้ชายเดาความคิดของคุณว่าคิดอย่างไรกับเขา รับรองเขาไม่รู้หรอกแถมอาจเข้าใจมั่วไปกันใหญ่อีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม การที่ผู้หญิงวิ่งโร่ไปจีบผู้ชายจนออกนอกหน้ายังคงดูไม่เหมาะนักกับวัฒนธรรมไทย และอาจจะดูเป็นคน “ง่าย” ในสายตาชายได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย วิธีที่ดีคือแสดงออกให้ฝ่ายชายรู้ว่าสนใจแต่สงวนท่าทีไม่ให้เกินงาม เช่น การให้ความใส่ใจช่วยเหลือ หรือการพูดคุย นั้นจะช่วยให้คุณรักษาคุณค่ากุลสตรีที่ฝ่ายชายจะต้องให้เกียรติ แต่หากคุณตกลงใจคบกันเป็นคู่แล้ว การที่สองฝ่ายผลัดกันบอกรักแก่กันและกันไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด แต่คำรักหวานๆ ที่มอบกันนั้นยังช่วยหล่อเลี้ยง และจรรโลงชีวิตคู่ให้ชื่นมื่นด้วย 3. ผู้ชายจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเซ็กส์ และเป็นผู้นำเสมอ : เมื่อความสัมพันธ์มาถึงบนเตียงแล้ว ฝ่ายหญิงควรเลิกความคิดที่ว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำเสมอไป เพียงเพราะคิดว่าเขา “เชี่ยวชาญกว่า” จริงๆ แล้วผู้ชายไม่ได้ “เชี่ยว” เรื่องนี้ไปเสียหมดหรอกหากคุณไม่บอกเขาว่าคุณต้องการอะไร เรื่องบนเตียงของคู่ก็ต้องรับผิดชอบกันทั้งคู่ ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งเป็นฝ่ายกระทำ หรือถูกกระทำ (ในกรณีที่สมยอมกันทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ) ดังนั้นฝ่ายหญิงจึงต้องกล้าที่จะลองรับบทบาทเป็นผู้นำคุมเกมเองบ้าง หาวิธีที่ทำให้คุณและเขามีความสุข แล้วชีวิตเซ็กส์ของคุณจะได้ไม่จืดชืดไงล่ะ 4. ผู้หญิงพูดเรื่องเซ็กส์จะเป็นคนสำส่อนน่ารังเกียจ : หากคุณใช้ชีวิตร่วมกับคู่ชีวิต ความต้องการเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องที่คุณ 2 คนต้องเคลียร์กันให้หมด ว่าแต่ละฝ่ายพึงพอใจแบบไหน ไม่ชอบใจอะไร เพื่อให้แต่ละฝ่ายปรับตัวเข้าหากัน และมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ จริงๆ แล้วผู้ชายจะดีใจ ภูมิใจด้วยซ้ำหากว่าเขาได้ทำให้คนที่ตนรักได้บรรลุความสุขในเรื่องบนเตียง ดังนั้นคุณผู้หญิงควรจะเรียนรู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองแล้วก็ค่อยๆ บอกให้คู่ของตนได้รับรู้ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม หากรักกันจริง ทำไมเรื่องแค่นี้จะยอมทำให้ไม่ได้ จริงไหมครับ 5. หญิงมีเซ็กส์เพราะรักสนุกเหมือนที่ผู้ชายคิด : ความจริงข้อหนึ่งที่ทั้งคุณผู้ชายและผู้หญิงควรรับรู้ไว้บ้างก็คือ ผู้ชายส่วนใหญ่เมื่อทำความรู้จักผู้หญิงที่ตรงสเป็ค ใจก็มักจะคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องอย่างว่าโดยตัวเองก็ไม่ค่อยรู้ตัว จากนั้นธรรมชาติก็มักจะชักนำให้ตามใจตัวเองอยู่เรื่อย ขณะที่ผู้หญิงการจะมอบกายใจมีเซ็กส์กับใครก็มักจะตัดสินใจจากความรักและไว้ใจในตัวคนๆ นั้น น้อยคนนักที่จะเป็นพวกรักสนุก ผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษพอจึงควรให้เกียรติ เคารพความคิดของผู้หญิงในข้อนี้ไว้ให้จงดีนะครับ อย่าเอาแต่เข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงเขาไม่คิดอะไรมากกับการที่คุณชวนเขาขึ้นเตียงน่ะ 6. เมื่อมีเซ็กส์ ผู้ชายได้ ผู้หญิงเสีย : หากเรื่องบนเตียงของคุณมีที่มาจากความสมยอมทั้งสองฝ่าย อย่าให้ความคิดว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเสีย ผู้ชายได้ มาทำให้คุณยึดติดกับคำๆ นี้ เพราะหลายกรณีที่คู่ชีวิตมีปัญหามีอันต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ฝ่ายหญิงที่ตอกย้ำความคิดว่าตนเป็นฝ่าย “เสียหายเพราะเสียตัว” มักจะลงเอยด้วยความคั่งแค้น ไปจนถึงเศร้าหมองสลดหดหู่ ดูถูกดูแคลนกับชีวิตตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไร บางคนถึงกับประชดชีวิตด้วยวิธีต่างๆ พาลให้ไปกันใหญ่ ดังนั้นให้คิดใหม่เสียเถิดครับว่าไม่มีใครเสีย มีแต่ได้กับได้ (ได้ทำไปแล้วไงครับ) แล้วเดินหน้าต่อไปสร้างสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตดีกว่า 7. แม้เบื่อสุดขีดแต่ก็ยอมทนเพื่อเสียสละ : หากคุณและคู่ไม่สามารถมีความสุขกันได้ เช่นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เคยถึงจุดสุดยอดเลยซักครั้ง แต่เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจจึงต้องโกหกกัน เรื่องแบบนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะร้อยทั้งร้อยสิ่งที่คุณคิดว่าเสียสละได้ ในที่สุดคุณก็จะเก็บกด เบื่อหน่าย หงุดหงิดแก้ไม่หาย พาลให้เกลียดกิจกรรมเซ็กส์กันไปเลย รังแต่จะมีผลเสียต่อชีวิตคู่ ทางที่ดีจึงควรบอกให้กันและกันรู้ถึงปัญหา และหาทางปรับตัวหรือแก้ไขร่วมกัน หรือทดลองเปลี่ยนท่าทางต่างๆ สร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับกิจกรรมรักของคุณเพื่อให้ได้รับความอิ่มเอมเต็มอิ่มไปพร้อมกัน 8. การทดลองสิ่งแปลกใหม่ให้กิจกรรมเซ็กส์เป็นเรื่องของคนลามกสำส่อน : คู่ที่ชั่วนาตาปีมีชีวิตบนเตียงอยู่กับท่ามาตรฐานเดิมๆ ซ้ำๆ จะนำพามาซึ่งความเบื่อหน่ายเหมือนกินกับข้าวแบบเดิมๆ ทุกวันใครจะไปทนได้นาน ลองศึกษาท่าทางวิธีการแบบใหม่ๆ จากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่ ให้ชีวิตมันมีสีสันตื่นเต้นดูบ้าง อย่ามัวไว้ตัวคิดแต่ว่าเป็นเรื่องของคนทะลึ่งลามก หากคู่ของคุณเบื่อทนไม่ไหวแล้วไปทะลึ่งกับคนอื่นแทนคุณ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนนะจะบอกให้ 9. การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นเรื่องลามก : บางคนมีความเชื่อเช่นนี้ ปัญหาคือเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศแล้วไม่อยากเป็นคนทะลึ่งลามกจึงไม่มีทางระบายออก กลายเป็นหนุ่มสาวอารมณ์เปลี่ยวที่เก็บกด หงุดหงิด จิตเสื่อม ลองปรับเปลี่ยนความคิดสักนิด ทำใจให้สบาย ปล่อยตัวเองผ่อนคลายตามธรรมชาติ แล้วคุณจะสบายตัวขึ้น แต่อย่าหมกมุ่นมากไป จะไม่ดี 10. ผู้หญิงจะเซ็กส์เสื่อมหลังวัย 30 : บางคนอาจเชื่อไปเองว่าผู้หญิงเมื่อล่วงเข้าวัย 30 แล้วความต้องการทางเพศจะค่อยๆ เสื่อมสูญไป คู่แต่งงานบางคู่จึงมักเกิดปัญหาระหองระแหงกันได้เมื่อแต่งกันมานาน ผู้ชายก็อาจโทษผู้หญิงว่าชืดชาเฉยเมย ทำให้ตนต้องหันเหไปหาอะไรใหม่ๆนอกบ้าน แต่จริงๆ แล้ว ลองทบทวนดูก่อนว่าอะไรที่ทำให้คุณผู้หญิงหมดอารมณ์กันแน่ ภาระงานบ้าน งานในที่ทำงาน แล้วยังต้องดูแลลูกอีก กว่าหัวจะถึงหมอนก็เหนื่อยเสียแล้ว จริงๆ แล้ววัยไม่เกี่ยว แต่คุณต้องจัดการเวลาให้ดี อย่าเอาภาระเรื่องงานกลับบ้าน อย่าเอาเรื่องงานบ้านมาถกกันบนเตียง ล้วนแต่พาลให้หมดอารมณ์บรรเจิดไปเสียหมด หากคุณผู้ชายหมั่นแสดงความรักและห่วงใย ปลอบใจให้เธอคลายเหนื่อยด้วยวิธีอันละมุนละไม เชื่อว่าปัญหาเฉยเมยเหล่านี้จะหายไปในไม่ช้า 11. ถึงวัยทองแล้วคิดมีเซ็กส์เป็นเรื่องบัดสี : บอกแล้วไงว่าวัยไม่เกี่ยว ตราบใดที่คุณสองคนเป็นคู่ชีวิตที่ยังพร้อมจะมอบความรักให้แก่กัน แม้กายภาพจะไม่ค่อยเอื้ออำนวย อะไรๆ เคยลื่นก็กลายเป็นฝืด พลังเคยเต็มเปี่ยมก็ถดถอยลงไปตามวัย แต่อย่างน้อยการได้สัมผัสรัก ถ่ายทอดความอ่อนโยนให้แก่กันก็จรรโลงชีวิตให้สดใสได้ แถมยังช่วยให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย อารมณ์ดี โปรดสังเกตว่าคู่ชีวิตที่ยังรักหวานแหววกันจนวัยทองแล้วเนี่ย ส่วนใหญ่จะสามารถถ่ายทอดความรักความอบอุ่นไปยังลูกหลาน ให้มีทัศนคติที่ดีในชีวิตคู่ได้อีกต่างหาก 12. ผู้ชายใส่ปลอก...ไม่สมชายชาตรี : ผิดถนัดหากคุณคิดเช่นนี้ โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้ชายด้วยแล้ว คงไม่สนุกนักหากมีเซ็กส์ที่ไม่ระวัง แล้วนำพาปัญหาตามมาให้ปวดหัวในภายหลัง การใส่ถุงยางอนามัยไม่ได้แสดงว่าคุณไม่แมน แต่ทางตรงข้าม คุณกำลังเป็นสุภาพบุรุษที่รอบคอบ รู้จักคิด รู้จักการป้องกัน ทั้งตัวเอง (จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) และคู่ของคุณจากโรคติดต่อ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ 13. รักสนุกแล้วค่อยคิดคุมกำเนิด สบายใจได้ 100% : เพราะคิดแบบนี้กัน ปัญหาสังคมจึงยังมีให้วิ่งตามแก้ทุกวัน โดยเฉพาะในกลุ่มหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ประสบพบพักตร์กันแล้วเคมีในร่างกายระเบิดจุดประกายไฟปรารถนา พอเวลามีอะไรกันแล้วจึงนึกได้ ฝ่ายหญิงค่อยไปหายาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์มากิน โดยคิดว่าสบายใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่เห็นมาแล้วนั้นมีพลาดเสียก็เยอะ พลั้งขึ้นมาเกิดตั้งครรภ์ตอนที่ยังไม่พร้อม หรือติดเอดส์ขึ้นมา ปัญหาอีกร้อยแปดก็จะรุมเร้าแน่ๆ ข้อสำคัญมีงานวิจัยบอกว่า ยาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์หลังมีเพศสัมพันธ์ได้เพียง 85 เปอร์เซนต์เท่านั้น แถมยังต้องกินหลังมีเพศสัมพันธ์ทันทีไม่เกิน 1 ชั่วโมงจึงจะได้ผล เพราะฉะนั้นทางที่ดี หากคิดว่าตัวเองมีแนวโน้มจะเปิดตัวไปมีเซ็กส์กับใคร หรือแม้แต่กับคู่ตัวเองก็ตาม หากยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบกับชีวิตน้อยๆ อีกชีวิตหนึ่ง ไม่คุณก็คู่ควรเตรียมอุปกรณ์คุมกำเนิดพกใส่กระเป๋าไว้บ้าง หากฝ่ายหญิงไม่ได้กินยาคุมกำเนิดเป็นกิจวัตรทุกวันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็กรุณาตั้งสติสะกิดฝ่ายชายแล้วยื่นถุงยางอนามัย บังคับให้เขาใส่ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวคุณทั้งคู่เองนะครับ

ลดภาษี เรื่องใหญ่(อ่านแล้วดีเลยไปก้อบมาเล่าต่อครับ)

พูดถึงคำว่า “ภาษี” คำคำนี้ช่างแสลงใจใครต่อใครถือเป็นโจทย์ ใหญ่ของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จะต้องทำยังไงให้ผู้คนในประเทศนี้ ยอมรับ และมองโลกในแง่ดีกับคำที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคบด้วยซักเท่าไหร่
ยิ่งเป็นคนทำธุรกิจ พ่อค้าวาณิชน้อยใหญ่... จะยิ่งอยากห่างไกลให้ได้มากที่สุด ไม่เชื่อก็ลองสำรวจความคิดเห็นดูก็ได้ ถามไถ่ซักร้อยคน...ดูว่าจะมีกี่คนที่ไม่เบือนหน้าหนี
เรื่องนี้คงไม่สามารถทำให้คนรักคนชอบได้ในเร็ววันหรอกครับ มันสั่งสมมาเป็นร้อยปี ถ้าจะแก้ไขก็ต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องใช้กลยุทธ์มากเอาการถึงจะค่อยๆ สร้างทัศนคติที่ดีกลับมาได้บ้าง เอาไว้คราวถัดไปจะขอเสนอหน้าขายไอเดียให้ท่านเสนาบดีที่เกี่ยวข้องลองพิจารณานะครับ
แต่ถึงวันนี้...ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่า รัฐบาลชุดนี้...มีความตั้งใจดีที่จะช่วยเหลือผู้คนในสังคมให้อยู่ดีกินดีขึ้น ก็มาตรการลดหย่อนภาษีตั้ง 19 ข้อ...ที่รัฐบาลผลักดันออกมาให้เมื่อไม่นานนี้ไงครับ
โดยส่วนตัว...ผมต้องขอโค้งคำนับซัก 3 ครั้ง ที่ยังอุตส่าห์นึกถึงหัวจิตหัวใจผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยในบ้านในเมืองนี้ แม้การลดหย่อนภาษีที่ว่าจะเป็นแค่ยาหม้อเล็ก ใช้รักษาโรคทางธุรกิจได้บางส่วน แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พ่อค้าแม่ขายได้แต่นั่งรอความตายอย่างหมดหวัง
ผมอยากไล่ให้ฟังว่า มีมาตรการลดหย่อนภาษีตัวไหนที่ผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์บ้าง
ข้อ 6. ห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 ถ้าเงินได้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี...ข้อนี้ดีมาก เพราะกระชากใจชาวบ้านที่รวมตัวกันทำกิจการเล็กๆ ในชุมชน สินค้าดี...พอขายได้...ใช้จ่ายในกลุ่มก้อน ทำให้คนมีงานทำ มีรายได้แบ่งปันกัน ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เป็นเรื่องที่น่าส่งเสริมอย่างยิ่ง...นี่จึงเป็นโอกาสทองของคนในท้องถิ่นที่จะรวมตัวกันทำมาหากินเดือนละไม่เกินแสนก็ไม่ต้องเสียภาษีครับ
ข้อ 7. ปรับปรุงภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่มีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท (เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2551 เป็นต้นไป) ยกเว้นภาษีกำไรสุทธิส่วนที่ไม่เกิน 1.5 แสนบาท ส่วนที่เกินคิดในอัตราเดิม...ข้อนี้ดีสำหรับเถ้าแก่น้อยหรือผู้ประกอบการหน้าใหม่ ธุรกิจไซส์เล็กไม่เกิน 5 ล้านบาท ถือว่าน่าส่งเสริม แม้ว่าของเดิมไม่ต้องเสียภาษีถ้าธุรกิจขาดทุน ซึ่งส่วนใหญ่ก็พยายามเลี่ยงภาษีด้วยการทำให้กิจการไม่มีกำไร ต้องไปเสียเงินเสียทองแพงๆ จ้างคนมาตกแต่งบัญชีให้ขาดทุน แต่หลังจากนี้ไม่ต้องหลบหนีไปไหน ว่ากันได้ตามตรง เป็นการทำให้คนทำธุรกิจกลับเข้าระบบมากขึ้น
ข้อ 8. ให้บุคคลธรรมดา บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน หักค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน (ทรัพย์สินจะต้องได้มาและพร้อมใช้งานได้ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2553) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.25 เท่าของค่าใช้จ่าย...แปลว่า ซื้อมา 100 แต่หักได้ 125 ทำให้กำไรลดลง กิจการก็เสียภาษีน้อยลง
เรื่องนี้ดีทั้งในแง่การลงทุน...ดีทั้งในเรื่องประหยัดพลังงาน กิจการไหนกำลังจะเปลี่ยนหม้อแปลงหรือเครื่องจักร ก็ฟาดเหนาะๆ สองเด้ง กิจการไหนเป็นคนขายเครื่องจักรดังว่า ก็เตรียมอ้าแขนรับลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่นอน
ข้อ 9. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสินคาหรือให้บริการ (ทรัพย์สินจะต้องได้มาและพร้อมใช้งานภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2553) สามารถหัก 40% ในวันที่ได้ทรัพย์สินมา ส่วนที่เหลือให้หักอัตราปกติ...ประเด็นนี้จะได้ประโยชน์ ทำให้ปีแรกหักค่าเสื่อมราคาได้สูงถึง 40% ก่อนเลย เท่ากับว่าจะทำให้เหลือกำไรสุทธิไปเสียภาษีน้อยลง เหลือเงินไปขยายกิจการได้เพิ่มขึ้น แบบนี้ก็น่าลงทุนล่ะสิ
ข้อ 10. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ประเภทโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ได้รับทรัพย์สิน...นี่ก็เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ยุคนี้แทบทุกกิจการมักจะซื้อซอฟต์แวร์มาใช้ในการบริหารจัดการ ถูกบ้างแพงบ้าง เที่ยวนี้ก็ลงทุนได้เลย เพราะหักค่าเสื่อมได้ ไม่ต้องไปแอบก๊อบโปรแกรมชาวบ้านแบบผิดกฎหมายอีกแล้ว
ข้อ 11. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท และจ้างงานไม่เกิน 200 คนหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ 40% ในวันที่ได้ทรัพย์สินมา ส่วนที่เหลือให้หักภายใน 3 รอบบัญชี...
ข้อนี้เน้นที่เป็นธุรกิจ SMEs โดยตรง ให้สิทธิปีแรกหักค่าเสื่อมเยอะหน่อยก็จะทำให้เสียภาษีน้อยหน่อย เป็นประโยชน์ทั้งคนซื้อและคนขาย ทำให้ตลาดซอฟต์แวร์กลับมาคึกคัก ผู้คนในแวดวงนี้ก็จะได้มีช่องทางทำมาหากินเพิ่มขึ้น
ข้อที่เหลือจะเป็นเรื่องของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และมีข้อท้ายๆ เกี่ยวกับการลดภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดฮวบจาก 3% เหลือ 0.1% ประหยัดภาษีได้อื้อเลย และลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% ..นี่ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้คนซื้อคนขายที่ส่วนใหญ่จะตกลงจ่ายคนละครึ่งได้มหาศาล
สุดท้ายข้อ 19.เป็นการลดค่าจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จาก 1% เหลือ 0.01% ...ตัวนี้คนที่แฮปปี้คือผู้ซื้อบ้านช่องห้องหอ คอนโดมิเนียม ตึกแถว ประหยัดค่าภาษีเอาเงินไปใช้หนี้ได้สบายๆ เลยครับ
ถามว่า...มาตรการลดภาษีเที่ยวนี้จะดีมากน้อยแค่ไหนยังไม่รู้...รู้แต่ว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ที่แน่ๆ กระชากกระแสการใช้จ่ายเงินได้แบบโดนใจ คนได้ประโยชน์เห็นๆ...คนเสียประโยชน์ยังมองไม่ชัด เราๆ ท่านๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายเหลือตังค์ใช้อีกหลายบาทแน่นอน
ยามนี้...มีคนยื่นมือมาช่วย...ย่อมดีกว่ามีแต่คนบอกให้ต้องปรับตัว...ลูกเดียว
ทำธุรกิจ...ก็เหมือนกับ...ขับรถให้ถึงเป้าหมาย
วันนี้...เรามีเป้าหมาย เรามีรถ...เราสามารถเตรียมรถให้พร้อม เราสามารถหาแผนที่หาเส้นทางที่จะไปได้แล้ว
และวันนี้รัฐบาลได้จัดแหล่งเงินทุนไว้รองรับมากมายหลายแบงก์ และยังช่วยลดหย่อนภาษีให้ตั้งหลายอย่าง...เปรียบไปก็เหมือนรัฐบาลทำเส้นทางทำถนนให้พร้อมแล้ว...
ที่เหลือ...ก็อยู่ที่เราจะขับรถของเราไปให้ถึงเป้าหมายได้อย่างไร..
รถจะคว่ำคะมำหงาย...จะปีนป่ายขอบถนน...จะพ้นออกนอกเส้นทาง หรือวิ่งไปประสานงาคันอื่น...
อยู่ที่...คนขับรถ...ครับ

ตำนานนางสงกรานต์

ไหนๆก็ใกล้เทศกาลสงกรานต์กันแล้วผมจึงอยากนำเสนอเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับสงกรานต์ให้ทุกท่านได้รับทราบกัน
ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน
ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้
ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ
จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู)
ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง)
ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)
สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า
วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
วันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ
วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี