วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

วิธีเสียบปลั๊ก Notebook‏ ที่ถูกต้อง

เรื่องนี้เป็นทิปสั้นๆ แต่..ทิปสั้นๆ นี้ ผมเชื่อว่ามีใครหลายยคนที่ไม่เคยรู้มาก่อน ประมาณว่า จริงเหรอ? ใช่เหรอ?
ในช่วงแรกๆ ที่ผมใช้โน้ตบุ๊กก็อาการเดียวกับหลายๆ ท่าน เวลาจะเสียบปลั๊กก็เสียบตัวอะแดปเตอร์เข้ากับตัวเครื่องก่อน (จริงๆ มันน่าจะถูกนะ) แล้วก็เอาปลั๊กอีกด้านไปเสียบกับเต้ารับของที่บ้าน หรือที่ทำงาน โดยหลักความเป็นจริงแล้ว มันจะควรจะทำแบบนี้ใช่มั้ย?
คิดว่าหลายคนคิดเหมือนผม ปัญหาที่ผมเจอเมื่อทำแบบนี้กับโน้ตบุ๊กแทบทุกรุ่นที่ผ่านมา ก็คือมันมีไฟแลปออกมาจากตัวปลั๊ก เหมือนเกิดการสปาร์คขึ้น เสียบกี่ครั้งก็เกิดอาการแบบนี้ จนพาลคิดไปว่าพวกอะแดปเตอร์โน้ตบุ๊กมันไม่ค่อยดีมั้ง ผมก็หาวิธีแก้ไขบ้าง
เพื่อนหลายคนใช้วิธีเด็ดกว่านี้ครับ คือซื้อปลั๊กที่มีสวิทซ์เปิดปิดมาเลย วิธีการที่เขาทำก็คือ เสียบปลั๊กทุกๆ อย่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเปิดสวิทซ์ที่ปลั๊ก เอ้ออ.. ไอเดียดีเนาะว่ามั้ย แต่จนแล้วจนรอด ผมเอ๊ะใจขึ้นมา เลยเปิดคู่มือโน้ตบุ๊กที่ผมเพิ่งได้มาใหม่ดู นั่งอ่านสักพัก ก็ถึง บ้างอ้อ จนได้ว่า สิ่งที่เราทำมานั้น ไม่ถูกต้องเลยครับ
มิน่า เสียบยี่ห้อไหน ก็ไฟแลบตะแลบแป๊บหมด.. พาลเอาใจหายว่าไฟจะช็อตได้
ต่อไปนี้ตั้งใจอ่านให้ดีดีนะครับในคู่มือเขาบอกไว้ชัดเจนเลยครับว่า วิธีการเสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ของโน้ตบุ๊ก ที่ถูกต้องก็คือ ให้เราเสียบปลั๊กเข้ากับเต้ารับที่บ้านหรือที่ทำงานก่อนครับ จากนั้นค่อยเอาปลายอีกด้านที่เหลือมาเสียบเข้ากับโน้ตบุ๊ก อันนี้คือวิธีที่ถูกต้อง
ผมเลยลองดูซะเลยครับ ปรากฏว่าอาการไฟแลบหรืออาการสปาร์คนั้นไม่มีเกิดขึ้นเลย โอ้! นี่แหละหนาาา..นิสัยไม่ชอบอ่านคู่มือ หลังจากนั้นมาผมก็พยายามแนะนำเพื่อนๆ ทุกคนที่เกิดอาการนี้ทั้งหมด ทุกรายแฮปปี้ดีแทคมากๆ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่ทราบครับ ใครที่ทราบแล้วก็ฝากบอกต่อเพื่อนๆ ด้วยนะครับ จะได้เสียบปลั๊กอะแดปเตอร์ได้ถูกต้องเสียที ใครใช้โน้ตบุ๊กอยู่ตอนนี้จะลองทำดูก็ได้นะครับ
ขอเพิ่มเติมด้วยว่า ใช้วิธีเดียวกันนี้กับ ทั้งมือถือ และ PDA ด้วย

Finalle update

สายลมย่อมพัดผ่าน วันวานย่อมเปลี่ยนผัน แต่ใจฉันจะยังคงเดิม
ในที่สุดก็ก้าวมากันจนถึงบทสุดท้ายแล้วสินะครับ ในที่สุดบลอคนี้ก็ถึงเวลาที่จะได้ล่ำลาผู้ชม
ณ จุดนี้ผมต้องขอแสดงความขอบคุณแก่ทุกท่านที่ได้ผ่านเข้ามายังบลอดของทั้งโดยที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านจริงๆครับ สุดท้ายนี้ก่อนที่จะล่ำลากันไป ผมจะขออัพเดทบลอคเพื่อเป็นการทิ้งท้าย
เอากันให้แปลกใจกันไปข้างนึงขอให้ทุกท่านได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงก่อนล่ำลาของบลอคของผมนะครับ
ขอบคุณมากครับ

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551

special event! luckypost lucky seven

ผมขอจัดevent พิเศษ เนื่องในโอกาสที่บลอคของผมได้สมาชิกคนแรกครับ ขอให้ท่านผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบลอคของผมทุกท่านช่วยกันลงความเห็นกันที่บทความนี้นะครับ ผู้โชคดี 7 ท่าน จะถูกเลือกขึ้นมาโดยสุ่ม(ในกรณีที่มีโพสเข้ามาไม่ถึง 7 ท่านจะได้รับรางวัลทุกท่านครับ)
กติกา
1. โพสไว้ที่บทความนี้เท่านั้นนะครับ(ถ้าไปโพสที่อื่นผมจะหาไม่เจอ)
2. กรุณาโพสชื่อกับนามสกุลของท่านเองแถมไว้ด้วยนะครับ(ถ้าเป็นไปได้เขียนอย่างอื่นแถมๆมาด้วยก้ได้ครับ)

ประกาศผล ท้ายชั่วโมงอาจารย์พีรพร วันที่ 20 เมษายน 2551
ขอบคุณครับ

ฉลองเนื่องในโอกาสได้สมาชิกคนแรก

สำเร็จแล้วครับ ในที่สุดบลอคของผมก็ได้สมาชิกใหม่แล้วครับ ภูมิใจเสนอจริงๆครับ
คุณ พรกมล ธาราทรัพย์ (เนื่องจากผมไม่ทราบคำนำหน้า ชื่อ นะครับผมเลยลงให้ว่าคุณไปก่อน)
สำหรับโอกาสนี้ ผมจึงขอจัดเป็น event พิเศษเลยนะครับ สำหรับผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่จัดไว้ผู้โชคดี 7 ท่าน(ไม่นับท่านอาจารย์)
ผมมีของเล็กๆน้อยๆมอบให้เป็นรางวัลครับ(ขอย้ำของรางวัลนั้นเล็กๆน้อยๆจริงๆครับ)

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

13 พิชัยยุทธ์พิชิตข้อสอบ

ท่านอาจจะลำบากใจทำไงดีสอบไม่เคยผ่าน โพย(อุปกรณ์โกงข้อสอบ เช่น กระดาษจดข้อความ)ที่ใช้อาจารย์จับได้ทุกที คะแนนก็ใกล้ศูนย์อยู่แล้ว ถ้าสอบตกต้องเรียนซ้ำ ค่าเทอมก็ขูดรีดพร้อมด้วยเตารีดและคันไถ ใครรู้ก็อับอาย เพื่อนโห่ฮา อาจารย์ติเตียน คนเขียนบลอคแอบนินทา อัปโยคทั้งวงศ์ตระกูล มันคือความเครียด เครียด เครียด อ้ากกกกกกกกกกกกกกก!! แต่ปัญหาของท่านจะลดลงเมื่อท่านพบบทความนี้...เป็นเคล็ดลับของการทำข้อสอบให้สำริดผล ซึ่งแบ่งได้ดังต่อไปนี้ เป็น 13 วิธีการโกง
1.กลยุทธ์คัมภีร์หนังมนุษย์ เป็นวิธีง่ายๆขั้นพื้นฐาน แต่ได้ผลดี เพียงท่านใช้ปากกาขีดเขียนบนเนื้อหนังของท่าน โดยขอแนะนำ ง่ามมือ บริเวณใต้ร่มผ้า ซึ่งสามารถพรางสายตาอาจารย์ได้พอสมควร ข้อแนะนำ วิธีการดังกล่าว อาจจะมีปัญหาถ้าท่านนั่งสอบใต้แอร์ ซึ่งจะทำให้ร้อนและเหงื่อออก โพยที่ท่านใช้จะเริ่มเลือนลางจากเหงื่อ ข้อแนะนำที่โคนขา เพราะไม่มีอาจารย์คนไหนกล้ามาตรวจดูตรงนั้น

2. กลยุทธ์สลับร่าง สร้างรัก เป็นชื่อหนังเอเชียของช่อง7 สมัยก่อนที่เคยมาฉายทีหนึ่ง วิธีนี้จะต้องอาศัยคนอย่างน้อย 2 คน เพียงแค่ทำข้อสอบตกบนพื้น แล้วช่วยกันก้มเก็บทั้งสองคน แล้วใช้จังหวะนี้สลับข้อสอบเป็นอัน แล้วค่อยหาจังหวะสลับคืน ข้อแนะนำ ถ้าผู้ร่วมขบวนการเป็นชายหญิง 2 คน แนะนำให้ฝ่ายชายเก็บ เพื่อแสดงความมีน้ำใจแก่ฝ่ายชายหญิง ซึ่งอาจจะลดข้อสงสัยแก่อาจารย์คุมสอบได้ ผู้ร่วมขบวนการต้องมีลายมือคล้ายๆกัน เพื่ออ้างว่าเห็นลายมือคล้ายๆกัน นึกว่าของตัวเอง

3.กลยุทธ์รหัสมอส การใช้คำพูดหันหน้าหันหลังอาจจะอันตรายเกินไปสำหรับบางสถานกาณ์ ให้ใช้รหัสมอสแทน โดยรหัสมอส หมายถึง การเคาะเพื่อให้สัญญาณ เช่น กระทืบเท้า เคาะโต๊ะ ขากสเลด เป็นต้น โดยให้ผู้ต้องการลอกส่งรหัสมอสให้กับผู้ร่วมขบวนการ แล้วให้ผู้ร่วมขบวนการตอบกลับมาด้วยรหัสมอสเช่นกัน คำแนะนำ จะใช้ได้ดีในแบบกาเลือกเท่านั้น ถ้าแบบบรรยายหรือวิธีทำ อาจจะต้องใช้การส่งคำตอบนานเกินไปจนเป็นที่สังเกตได้ ควรนัดแนะการส่งรหัสกันให้ดี เพราะการให้สัญญาณขาดหรือเกินจะทำให้ผิดพลาดในการตอบคำตอบได้

4.กลยุทธ์อโรคาพารอด การแกล้งป่วยจะช่วยพรางตาอาจารย์ได้ โดยอาการปวดหัว ให้ท่านกุมศรีษะ การกุมศรีษะด้วยมือจะพรางตาอาจารย์คุมสอบ ทำให้อาจารย์ไม่รู้ว่าเด็กจะรับโพยทางไหน หรือดูยากขึ้น ทำให้โอกาสลอกข้อสอบมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

5.กลยุทธ์ยุทธการหัวเห็ด ผมเป็นสิ่งสำคัญต่อบุคลิกภาพของคนเรา โดยประโยชน์นอกจากนี้คือ พรางตาเช่นเดียวกับกลยุทธ์อโรคาพารอด เพียงใช้ผมของท่านที่มีอยู่มากำบังใบหน้า จนมิดจะทำให้อาจารย์คุมสอบจับจดไม่ถูกว่าท่านกำลังลอกโพยจากตำแหน่งไหนหรือ จับได้ยากขึ้น คำแนะนำ ใช้กับนักศึกษาชายไม่ได้เพราะผมยาวไม่พอ

6.กลยุทธ์เรดาห์ เสียงระหว่างการส่งโพยกันและกัน และเสียงคำพูดหลังจากสอบเสร็จจะสำคัญมาก แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าท่านไม่ได้ยิน ให้ท่านกำมือมีช่องว่างเป็นรูปวงกลมไปทัดที่ใบหู มันจะช่วยเพิ่มความสามารถการได้ยินได้ดีขึ้น คำแนะนำ วิธีนี้สามารถใช้ดักฟังการส่งโพยของผู้อื่นได้

7.กลยุทธ์One For All แนะนำให้ใครคนหนึ่งที่ร่วมขบวนการหรือไม่ขบวนการก็ได้เตรียมส่งสัญญาณ ถ้าอาจารย์เข้ามาอยู่ในรัศมี คำแนะนำ ใช้ได้ต่อเมื่ออาจารย์คุมสอบกลับมาจากทำธุระ

8.กลยุทธ์โห่ร้องตะวันออก โจมตีตะวันตก กลยุทธ์นี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ผลดีทีเดียวในสงครามจริง โดยวิธีการนี้ผู้ร่วมขบวนการควรอยู่คนละฟากกัน ให้ผู้ร่วมขบวนการทำอาการให้เกิดเสียงดังประหนึ่งคุ้มคลั่งจนอาจารย์คุมสอบต้องหันมาสนใจ ระหว่างที่อาจารย์กำลังสนใจอยู่ ให้ผู้ร่วมขบวนการที่เหลือใช้โพยอย่างรวดเร็ว คำแนะนำ ผู้ร่วมขบวนการจะต้องให้สัญญาณให้ถูกจังหวะในใช้กลยุทธ์นี้

9. กลยุทธ์SMS ข้อความสื่อรัก ใช้ได้ดีพอสมควรโดยให้ผู้ร่วมขบวนการ มีโทรศัพท์มือถือติดตัวอยู่ แล้วให้ส่งข้อความ(โพย)สื่อสารกัน คำแนะนำ ควรติดตั้งเป็นระบบสั่นก่อน ควรฝึกความสามารถในการพิมพ์ให้เร็ว เพราะการก้มนานๆจะเป็นจุดสนใจจนท่านอาจารย์อาจจะสงสัยว่าท่านดูคลิปโป้ผ่านมือถือได้

10. กลยุทธ์ชักธงรบ การชักธงในสนามสงครามหมายถึงการสั่งโจมตี โดยธงจะต้องมีความสูงพอสมควร เพื่อที่ให้ทหารทั้งหมดเห็น โดยให้ผู้ร่วมขบวนการยกข้อสอบขึ้นมาอ่านให้ลอยเหนือโต๊ะจนเหนือศรีษะทำมุม ฉากกับโต๊ะ ผู้ร่วมขบวนการที่เหลือจะสามารถมองข้ามไหล่มาอ่านคำตอบในใบข้อสอบได้ คำแนะนำ ลายมือของคนเขียนจะต้องใหญ่พอสมควรและอ่านออกง่าย

11. กลยุทธ์ชัยภูมิดี มีชัยไปกว่าครึ่ง การมีตำแหน่งที่ดีของห้องจะทำให้เราลอกได้สะดวกและใช้กลยุทธ์อื่นได้อย่างดีขึ้นด้วย เช่น อยู่กลางห้อง จะสามารถลอกได้จากหลายทิศทาง หลายตัวเลือก หลายคน อยู่ติดเสา จะสามารถส่งโพยให้คนอื่นๆได้โดยขีดเขียนบนเสา ฯลฯ คำแนะนำ ควรศึกษาตำแหน่งทำเลที่ได้มาอย่างดี และนำมาใช้ประโยชน์อย่างให้ดีที่สุด

12. กลยุทธ์ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งไกล ในการสอบปลายภาคนักเรียนบางคนโชคร้ายต้องไปนั่งหน้า ซึ่งทำให้เป็นที่รู้สึกว่าจะถูกจับตามองโดยง่ายจากอาจารย์ แต่ที่จริงแล้ว อาจารย์บางท่านจะไม่ค่อยดู เพราะคิดว่าอยู่ใกล้ขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าโกงข้อสอบ การนั่งหน้าการโกงข้อสอบจะต้องใช้วิธีส่งคำพูดไม่ได้ จะเป็นที่สังเกตมากไป แต่ใช้ข้อความเขียนในกระดาษทดที่อาจารย์แจกมา แล้วมาตั้งตรงมุมอับจากสายตาอาจารย์พร้อมถามหรือตอบข้อสอบจากผู้ร่วมขบวนการ คำแนะนำ ถ้าอยู่ติดกับโต๊ะอาจารย์จะโกงยากมาก ดังนั้นการใช้วิธีนี้ต้องให้อาจารย์ลุกไปก่อนแล้วค่อยใช้ ควรใช้กลยุทธ์ “รหัสมอส” ควบคู่กับกลยุทธ์นี้

13. กลยุทธ์เผาถ่านก่อนหน้าฝน เป็นสุภาษิตจีนสุภาษิตหนึ่งเพราะในหน้าฝนถ่านจะแพง ชาวจีนจึงมีการเตรียมการเผาถ่าน เตรียมไว้ใช้ในหน้าฝน ให้ผู้ปฏิบัติเตรียมการโกงก่อนวันจรืง โดยให้จดจำที่นั่งตนเองไว้แล้วหาโพยไปซ่อนหรือแปะไว้ที่โต๊ะ คำแนะนำ การลงน้ำยาลบคำผิดที่ขาโต๊ะหรือเก้าอี้จะไม่ค่อยเป็นที่สังเกต การเขียนโพยบนโต๊ะต้องใช้ปากกาที่สีกลืนกันไปกับสีโต๊ะ เพื่อพรางตาอาจารย์คุมสอบ การแปะโพยกระดาษต้องแปะ ในระดับที่อาจารย์เดินมาแล้วไม่เห็น หัวใจของการโกงข้อสอบ คือใช้กลยุทธ์ทุกอย่างให้สอดคล้องและรวดเร็ว ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ อย่าคิดว่า อาจารย์จะไม่รู้เชียว

วิธีทำลายหลักฐานที่จะแนะนำให้เพื่อนๆ คือ
1. กินเข้าไป (กินมันเข้าไปเลยเนี่ยหละ)
2. เผาทิ้ง (อันนี้ ถ้าสามารถจริงๆ ให้เพ่งสมาธิไปทีกระดาษจนกว่ามันจะลุกไหม้ครับ)
3. ขยำแล้วปาใส่หัวเพื่อนเอาให้ดีนะ จุ่มน้ำลายฉ่ำๆด้วย (จะไม่มีคนสนใจ แต่อาจถูกด่าเล็กน้อย)
4. ปาออกนอกหน้าต่าง
5. ย่อยสลายเป็นกระดาษรีไซเคิล

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

ทำไมในต่างประเทศถึงเรียกตำรวจว่า COP

ทุกคนคงเคยได้ยิน ตำรวจเหล็กชื่อดัง โรโบคอบ (ROBOCOP) และทุกคน คงเดาออกว่า ROBO มาจาก ROBOT ที่แปลว่าหุ่นยนต์ แต่คำว่า COP นั้น ทราบหรือเปล่าครับว่า เขาใช้เป็นกึ่งๆ แสลงเรียกตำรวจของฝรั่ง เพราะฉะนั้นโรโบคอบ ก็แปลตรงตัวง่ายๆ ว่าตำรวจหุ่นยนต์นั้นเอง แต่ทราบกันอีกหรือเปล่าครับ คำว่า COP มีที่มาอย่างไร
คำว่า COP ย่อมาจาก Constable of Patrol ในภาษาอังกฤษ แปลได้ว่า ตำรวจลาดตระเวน ซึ่งในสมัยก่อน ในประเทศอังกฤษ ใช้คำว่า COP ในการเรียกตำรวจเฉพาะหน้าที่หนึ่งของเขานั่นเอง ก่อนที่คำนี้จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ทำให้ ตำรวจทุกๆหน้าที่ ถูกเรียกย่อๆว่า COP ในที่สุด

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

ขอตอบควิซอาจารย์ครับ

เรียนท่านอาจารย์ เพื่อท่านจะแวะผ่านมาชม เนื่องจาก ช่วงอาทิตย์ที่แล้วผมต้องออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่และพอกลับมายังเป็นไข้ซ้ำอีกเลยยังไม่ได้เข้าไปดูที่บลอคของอาจารย์ แต่ก็ได้พบว่าสายไปแล้ว แต่ก็ยังอยากที่จะตอบ ส่วนท่านอาจารย์จะให้คะแนนรึไม่ก็ไม่เป็นไรครับ

ในกรณีที่บริษัทของข้าพเจ้ามีสาขาอยู่ทั่วทุกภาค มีพนักงานมากกว่า 10,000 คน ข้าพเจ้าสามารถนำระบบ HRISมาประยุกต์ใช้ในบริษัทของข้าพเจ้าโดยนำระบบสารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Information System) มาเป็นเครื่องมือในการนำข้อมูลพนักงานมาวิเคราะห์ วางแผนและการตัดสินใจ ในเรื่องต่างๆโดยนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องต่างๆดังนี้
1. ระบบการสรรหา และคัดเลือกพนักงาน
นำระบบ HRISมาใช้การจัดเก็บข้อมูลผู้สมัคร ทำให้ทราบสถานภาพและคุณสมบัติของผู้สมัคร ใช้ในการบันทึกข้อมูลการจ้างงาน เก็บประวัติส่วนตัวที่จะใช้ในการคัดเลือกต่อไป เช่น ชื่อ ที่อยู่ สถานภาพ ฯลฯ เนื่องจากผู้สมัครแต่ละคนยังไม่ผ่านการคัคเลือกเข้าเป็นพนักงานของบริษัท แต่อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านกระบวนการคัดเลือกแล้ว เช่น การทดสอบหรือการสัมภาษณ์ ระบบจะสามารถโอนข้อมูลพนักงานนั้นๆ เข้าสู่ระบบกลางได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องทำการบันทึกข้อมูลใหม่

2. ระบบทะเบียนประวัติ
นำระบบ HRISมามาช่วยในการจัดเก็บและบริหารข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับประวัติของพนักงาน, ตำแหน่งงาน, หน่วยงานสังกัด ฯลฯ ในทุกสาขาของบริษัท โดยระบบHRISนี้ ยังช่วยในการเชื่อมโยงการทำงานของระบบทะเบียนประวัติและระบบอื่นๆ เข้าด้วยกัน เนื่องจากเป็นการแบ่งการใช้ฐานข้อมูล เช่น ใช้ร่วมกับระบบการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือนเพื่อจ่ายค่าตอบแทน, ใช้ร่วมกับระบบการประเมินผลงานและการเลื่อนขั้นตำแหน่งเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการเลื่อนตำแหน่ง
3. ระบบบันทึกเวลาทำงาน
นำระบบ HRISมามาช่วยในการบันทึกข้อมูลเวลาการทำงานทำให้- สามารถกำหนดแผนการทำงานของพนักงานได้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นพนักงานรายเดือน รายวัน หรือพนักงานที่ต้องมีการเข้ากะที่แตกต่างกัน ในแต่ละสาขา- สามารถตรวจสอบเวลาการทำงานที่ข้ามวันได้ เช่น การเข้าทำงานกะในคืนวันหนึ่ง และไปเลิกงานในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง- รายงานข้อผิดพลาดต่างๆได้อย่างหลากหลาย เช่น พนักงานไม่รูดบัตรเข้าหรือออก รายงานมาสาย หรือเลิกงานก่อนเวลา- สามารถแสดงสถิติการหยุดงาน การป่วย ลา ขาด สาย ของพนักงานแต่ละคน หรือเป็นหน่วยงาน ในแต่ละสาขา และในแต่ละช่วงเวลา
4. ระบบการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน
นำระบบ HRISมามาช่วยในการจัดการรายได้ทั้งที่มีลักษณะคงที่และไม่คงที่ เช่น เงินประจำตำแหน่ง เงินค่าพาหนะที่จ่ายประจำ หรือค่าตอบแทนที่มีลักษณะคงที่ตลอดปี
การจัดการของระบบHRISในลักษณะของข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ เช่นข้อมูลหลักเกณฑ์ในการคำนวณการจ่ายเงินเดือน ได้แก่ จำนวนวันต่อเดือนที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าลดหย่อน โครงสร้างอัตราเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อัตราเงินประกันสังคม หลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสจ่ายเป็นจำนวนเท่าของเงินเดือนหรือไม่อย่างไร หรือเป็นการจ่ายในรูปเงินสดเมื่อถึงวันจ่ายโบนัส (Cash Basis) หรือเป็นการแบ่งจ่ายตามสัดส่วน ตามเวลาซึ่งได้คำนวณและกันเงินไว้ล่วงหน้า (Accrual Basis) อย่างไรก็ดีการจ่ายเงินจะมีความสัมพันธ์กับระบบบัญชีของบริษัท การจัดการของระบบHRISในลักษณะของข้อมูลที่มีลักษณะไม่คงที่ เช่น การปรับเงินเดือน การตกเบิกเงินเดือน (Retroactive Adjustment) ค่าพาหนะที่ไม่ได้จ่ายประจำ ค่าเบี้ยเลี้ยงเงิน (เดือน) เบิกย้อนหลัง เบิกล่วงหน้า ค่ากะ ค่าปฏิบัติงานล่วงเวลา ค่าพาหนะ ค่าคอมมิชชัน เงินรางวัลพิเศษ รายได้อื่นๆ
5. ระบบการประเมินผลงานและการเลื่อนขั้นตำแหน่ง
นำระบบ HRISมามาช่วยในการประเมินผลงานตามกลุ่มของพนักงานทุก ซึ่งจะมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องหัวข้อที่พึงประเมิน เงื่อนไข และการให้คะแนน หลังจากที่ทำการประเมินจนได้ผลคะแนนออกมาแล้ว ก็จะมีรูปแบบจำลองวิธีการปรับเงินเดือน หรือการจ่ายเงินโบนัส เพื่อควบคุมให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนด หรือนำผลที่ได้จากแบบจำลองต่างๆ เหล่านั้นมาเปรียบเทียบกันก่อนที่จะมีการตัดสินใจปรับเงินเดือนหรือจ่ายโบนัส นอกจากนี้ ยังจะต้องมีการเก็บบันทึกประวัติการประเมินผลงาน, ประวัติการเลื่อนตำแหน่ง, การทำความดีหรือถูกลงโทษ, ประวัติการปรับเงินเดือน หรือการจ่ายโบนัสไว้ทุกครั้งโดยอัตโนมัติ เพื่อสามารถเรียกดูประวัติการประเมินผลย้อนหลังได้เมื่อต้องการ
6. ระบบการพัฒนาและฝึกอบรม
มีการนำระบบ HRISมามาช่วยในด้านต่างๆดังต่อไปนี้
- จัดทำแผนการฝึกอบรมของพนักงานแต่ละคน หรือแต่ละตำแหน่งงาน พร้อมทั้งประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดเตรียมงบประมาณได้ เก็บประวัติการฝึกอบรมของบุคลากรแต่ละคน เพื่อใช้ตรวจสอบว่า ได้ผ่านการฝึกอบรมในเรื่องใดมาบ้างแล้ว และยังมีหลักสูตรใดที่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมบันทึกผลการประเมินการฝึกอบรมในแต่ละหลักสูตร ทั้งในเรื่องวิทยากร, ผลที่ได้รับ, เนื้อหา, ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์สำหรับการวางแผนฝึกอบรมในครั้งต่อๆไป รายงานสรุปค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรม ตามเงื่อนไขต่างๆ เช่น แยกเป็นแต่ละหน่วยงาน, แยกตามหลักสูตร, หรือแยกเป็นปีงบประมาณ ฯลฯ เพื่อนำเสนอผู้บริหาร
ระบบการจัดสวัสดิการพนักงาน
นำระบบ HRISมามาช่วยในการ รายงานประเภทของสวัสดิการต่างๆ ที่จัดให้กับพนักงาน ตลอดจนเงื่อนไขในการใช้สวัสดิการนั้นๆ แจ้งเตือนพนักงานให้ทราบว่า พนักงานคนใดได้ใช้สวัสดิการใดเกินกว่าที่กำหนดแล้ว ในกรณีเบิกค่ารักษาพยาบาล สามารถที่จะนำมาวิเคราะห์ถึงโรค หรืออาการที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับพนักงาน เพื่อวางแผนป้องกันได้ สรุปค่าใช้จ่ายในการจัดสวัสดิการแต่ละปี เพื่อนำไปวางแผนงบประมาณปีต่อไป

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

13 ข้อที่คนชอบหลงผิดเกี่ยวกับ SEX & LOVE

ก่อนจะพูดอะไรไปผู้เขียนต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าคอลัมน์นี้มีจุดมุ่งหมายจะช่วยชี้แนะคนที่มีคู่และปรารถนาจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคู่ให้อยู่ยั่งยืนนาน บนความจริงที่ว่า ความรักและเซ็กส์เป็นอารมณ์พื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์และมีผลต่อสุขภาพกายและจิตโดยตรง อย่าได้กล่าวหาว่าเราทำตัวทะลึ่งตึงตังหาเรื่องหยิบเอาเรื่องในมุ้งมาปอกเปลือกจนเห็นเนื้อในเลยนะครับ
จริงๆ แล้วปัญหาของคู่ชีวิตกับเซ็กส์นั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก และมีผลไปสู่การดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ อย่างที่คนมีคู่คงจะรู้แจ้งแก่ใจดีอยู่แล้ว หลายปัญหามักมีที่มาจากความเข้าใจผิดๆ ที่คุณอาจเคยได้ฟังมาแต่ครั้งไหนก็ไม่รู้ ลองมาดูว่าใน 13 ข้อเข้าใจผิดที่นักจิตวิทยารวบรวมได้นี้ ข้อไหนตรงกับความคิดของคุณบ้าง แล้วลองเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ นำไปใช้พัฒนาชีวิตคู่ของคุณให้ราบรื่นขึ้นกว่าเดิม 1. รักแท้จะต้องเป็นรักครั้งแรกเท่านั้น : ในวันนี้ที่คุณใช้ชีวิตคู่อยู่กับคนที่คุณเลือกแล้ว แต่ก็ยังไม่วายถวิลหาหนุ่ม (หรือสาว) คนแรกที่คุณหลงรักจนหัวปักหัวปำ เพราะใจน่ะพร่ำบอกตัวเองแต่ว่ารักนั้นเป็นรักแรกต้องเป็นรักแท้แน่นอน แท้ที่จริงแล้วคุณกำลังปิดประตูใส่กลอนหัวใจตัวเองใส่หน้าคู่ชีวิตปัจจุบันของคุณอยู่หรือเปล่า ลองคิดดูดีๆ ว่าใครกันที่อยู่เคียงข้างกับคุณในวันนี้ เวลานี้ และเป็นคนที่คุณควรจะมีความสุขด้วยกัน อย่าให้ความเชื่อเข้าข้างตัวเองอย่างไร้เหตุผลมาทำลายชีวิตคู่ปัจจุบันของคุณเองเลยครับ หันมาใส่ใจ ให้ความสุขกับคนข้างกายให้เต็มที่เพื่อวันนี้และวันหน้าจะดีกว่า 2. น่าเกลียดถ้าผู้หญิงบอกรักผู้ชาย : สังคมที่เปลี่ยนไปในวันนี้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องปิดปากเงียบปล่อยให้ผู้ชายเดาความคิดของคุณว่าคิดอย่างไรกับเขา รับรองเขาไม่รู้หรอกแถมอาจเข้าใจมั่วไปกันใหญ่อีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม การที่ผู้หญิงวิ่งโร่ไปจีบผู้ชายจนออกนอกหน้ายังคงดูไม่เหมาะนักกับวัฒนธรรมไทย และอาจจะดูเป็นคน “ง่าย” ในสายตาชายได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย วิธีที่ดีคือแสดงออกให้ฝ่ายชายรู้ว่าสนใจแต่สงวนท่าทีไม่ให้เกินงาม เช่น การให้ความใส่ใจช่วยเหลือ หรือการพูดคุย นั้นจะช่วยให้คุณรักษาคุณค่ากุลสตรีที่ฝ่ายชายจะต้องให้เกียรติ แต่หากคุณตกลงใจคบกันเป็นคู่แล้ว การที่สองฝ่ายผลัดกันบอกรักแก่กันและกันไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด แต่คำรักหวานๆ ที่มอบกันนั้นยังช่วยหล่อเลี้ยง และจรรโลงชีวิตคู่ให้ชื่นมื่นด้วย 3. ผู้ชายจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเซ็กส์ และเป็นผู้นำเสมอ : เมื่อความสัมพันธ์มาถึงบนเตียงแล้ว ฝ่ายหญิงควรเลิกความคิดที่ว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำเสมอไป เพียงเพราะคิดว่าเขา “เชี่ยวชาญกว่า” จริงๆ แล้วผู้ชายไม่ได้ “เชี่ยว” เรื่องนี้ไปเสียหมดหรอกหากคุณไม่บอกเขาว่าคุณต้องการอะไร เรื่องบนเตียงของคู่ก็ต้องรับผิดชอบกันทั้งคู่ ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งเป็นฝ่ายกระทำ หรือถูกกระทำ (ในกรณีที่สมยอมกันทั้ง 2 ฝ่ายนะครับ) ดังนั้นฝ่ายหญิงจึงต้องกล้าที่จะลองรับบทบาทเป็นผู้นำคุมเกมเองบ้าง หาวิธีที่ทำให้คุณและเขามีความสุข แล้วชีวิตเซ็กส์ของคุณจะได้ไม่จืดชืดไงล่ะ 4. ผู้หญิงพูดเรื่องเซ็กส์จะเป็นคนสำส่อนน่ารังเกียจ : หากคุณใช้ชีวิตร่วมกับคู่ชีวิต ความต้องการเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องที่คุณ 2 คนต้องเคลียร์กันให้หมด ว่าแต่ละฝ่ายพึงพอใจแบบไหน ไม่ชอบใจอะไร เพื่อให้แต่ละฝ่ายปรับตัวเข้าหากัน และมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ จริงๆ แล้วผู้ชายจะดีใจ ภูมิใจด้วยซ้ำหากว่าเขาได้ทำให้คนที่ตนรักได้บรรลุความสุขในเรื่องบนเตียง ดังนั้นคุณผู้หญิงควรจะเรียนรู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองแล้วก็ค่อยๆ บอกให้คู่ของตนได้รับรู้ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม หากรักกันจริง ทำไมเรื่องแค่นี้จะยอมทำให้ไม่ได้ จริงไหมครับ 5. หญิงมีเซ็กส์เพราะรักสนุกเหมือนที่ผู้ชายคิด : ความจริงข้อหนึ่งที่ทั้งคุณผู้ชายและผู้หญิงควรรับรู้ไว้บ้างก็คือ ผู้ชายส่วนใหญ่เมื่อทำความรู้จักผู้หญิงที่ตรงสเป็ค ใจก็มักจะคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องอย่างว่าโดยตัวเองก็ไม่ค่อยรู้ตัว จากนั้นธรรมชาติก็มักจะชักนำให้ตามใจตัวเองอยู่เรื่อย ขณะที่ผู้หญิงการจะมอบกายใจมีเซ็กส์กับใครก็มักจะตัดสินใจจากความรักและไว้ใจในตัวคนๆ นั้น น้อยคนนักที่จะเป็นพวกรักสนุก ผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษพอจึงควรให้เกียรติ เคารพความคิดของผู้หญิงในข้อนี้ไว้ให้จงดีนะครับ อย่าเอาแต่เข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงเขาไม่คิดอะไรมากกับการที่คุณชวนเขาขึ้นเตียงน่ะ 6. เมื่อมีเซ็กส์ ผู้ชายได้ ผู้หญิงเสีย : หากเรื่องบนเตียงของคุณมีที่มาจากความสมยอมทั้งสองฝ่าย อย่าให้ความคิดว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเสีย ผู้ชายได้ มาทำให้คุณยึดติดกับคำๆ นี้ เพราะหลายกรณีที่คู่ชีวิตมีปัญหามีอันต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ฝ่ายหญิงที่ตอกย้ำความคิดว่าตนเป็นฝ่าย “เสียหายเพราะเสียตัว” มักจะลงเอยด้วยความคั่งแค้น ไปจนถึงเศร้าหมองสลดหดหู่ ดูถูกดูแคลนกับชีวิตตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไร บางคนถึงกับประชดชีวิตด้วยวิธีต่างๆ พาลให้ไปกันใหญ่ ดังนั้นให้คิดใหม่เสียเถิดครับว่าไม่มีใครเสีย มีแต่ได้กับได้ (ได้ทำไปแล้วไงครับ) แล้วเดินหน้าต่อไปสร้างสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตดีกว่า 7. แม้เบื่อสุดขีดแต่ก็ยอมทนเพื่อเสียสละ : หากคุณและคู่ไม่สามารถมีความสุขกันได้ เช่นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เคยถึงจุดสุดยอดเลยซักครั้ง แต่เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจจึงต้องโกหกกัน เรื่องแบบนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะร้อยทั้งร้อยสิ่งที่คุณคิดว่าเสียสละได้ ในที่สุดคุณก็จะเก็บกด เบื่อหน่าย หงุดหงิดแก้ไม่หาย พาลให้เกลียดกิจกรรมเซ็กส์กันไปเลย รังแต่จะมีผลเสียต่อชีวิตคู่ ทางที่ดีจึงควรบอกให้กันและกันรู้ถึงปัญหา และหาทางปรับตัวหรือแก้ไขร่วมกัน หรือทดลองเปลี่ยนท่าทางต่างๆ สร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับกิจกรรมรักของคุณเพื่อให้ได้รับความอิ่มเอมเต็มอิ่มไปพร้อมกัน 8. การทดลองสิ่งแปลกใหม่ให้กิจกรรมเซ็กส์เป็นเรื่องของคนลามกสำส่อน : คู่ที่ชั่วนาตาปีมีชีวิตบนเตียงอยู่กับท่ามาตรฐานเดิมๆ ซ้ำๆ จะนำพามาซึ่งความเบื่อหน่ายเหมือนกินกับข้าวแบบเดิมๆ ทุกวันใครจะไปทนได้นาน ลองศึกษาท่าทางวิธีการแบบใหม่ๆ จากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่ ให้ชีวิตมันมีสีสันตื่นเต้นดูบ้าง อย่ามัวไว้ตัวคิดแต่ว่าเป็นเรื่องของคนทะลึ่งลามก หากคู่ของคุณเบื่อทนไม่ไหวแล้วไปทะลึ่งกับคนอื่นแทนคุณ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนนะจะบอกให้ 9. การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเป็นเรื่องลามก : บางคนมีความเชื่อเช่นนี้ ปัญหาคือเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศแล้วไม่อยากเป็นคนทะลึ่งลามกจึงไม่มีทางระบายออก กลายเป็นหนุ่มสาวอารมณ์เปลี่ยวที่เก็บกด หงุดหงิด จิตเสื่อม ลองปรับเปลี่ยนความคิดสักนิด ทำใจให้สบาย ปล่อยตัวเองผ่อนคลายตามธรรมชาติ แล้วคุณจะสบายตัวขึ้น แต่อย่าหมกมุ่นมากไป จะไม่ดี 10. ผู้หญิงจะเซ็กส์เสื่อมหลังวัย 30 : บางคนอาจเชื่อไปเองว่าผู้หญิงเมื่อล่วงเข้าวัย 30 แล้วความต้องการทางเพศจะค่อยๆ เสื่อมสูญไป คู่แต่งงานบางคู่จึงมักเกิดปัญหาระหองระแหงกันได้เมื่อแต่งกันมานาน ผู้ชายก็อาจโทษผู้หญิงว่าชืดชาเฉยเมย ทำให้ตนต้องหันเหไปหาอะไรใหม่ๆนอกบ้าน แต่จริงๆ แล้ว ลองทบทวนดูก่อนว่าอะไรที่ทำให้คุณผู้หญิงหมดอารมณ์กันแน่ ภาระงานบ้าน งานในที่ทำงาน แล้วยังต้องดูแลลูกอีก กว่าหัวจะถึงหมอนก็เหนื่อยเสียแล้ว จริงๆ แล้ววัยไม่เกี่ยว แต่คุณต้องจัดการเวลาให้ดี อย่าเอาภาระเรื่องงานกลับบ้าน อย่าเอาเรื่องงานบ้านมาถกกันบนเตียง ล้วนแต่พาลให้หมดอารมณ์บรรเจิดไปเสียหมด หากคุณผู้ชายหมั่นแสดงความรักและห่วงใย ปลอบใจให้เธอคลายเหนื่อยด้วยวิธีอันละมุนละไม เชื่อว่าปัญหาเฉยเมยเหล่านี้จะหายไปในไม่ช้า 11. ถึงวัยทองแล้วคิดมีเซ็กส์เป็นเรื่องบัดสี : บอกแล้วไงว่าวัยไม่เกี่ยว ตราบใดที่คุณสองคนเป็นคู่ชีวิตที่ยังพร้อมจะมอบความรักให้แก่กัน แม้กายภาพจะไม่ค่อยเอื้ออำนวย อะไรๆ เคยลื่นก็กลายเป็นฝืด พลังเคยเต็มเปี่ยมก็ถดถอยลงไปตามวัย แต่อย่างน้อยการได้สัมผัสรัก ถ่ายทอดความอ่อนโยนให้แก่กันก็จรรโลงชีวิตให้สดใสได้ แถมยังช่วยให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย อารมณ์ดี โปรดสังเกตว่าคู่ชีวิตที่ยังรักหวานแหววกันจนวัยทองแล้วเนี่ย ส่วนใหญ่จะสามารถถ่ายทอดความรักความอบอุ่นไปยังลูกหลาน ให้มีทัศนคติที่ดีในชีวิตคู่ได้อีกต่างหาก 12. ผู้ชายใส่ปลอก...ไม่สมชายชาตรี : ผิดถนัดหากคุณคิดเช่นนี้ โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้ชายด้วยแล้ว คงไม่สนุกนักหากมีเซ็กส์ที่ไม่ระวัง แล้วนำพาปัญหาตามมาให้ปวดหัวในภายหลัง การใส่ถุงยางอนามัยไม่ได้แสดงว่าคุณไม่แมน แต่ทางตรงข้าม คุณกำลังเป็นสุภาพบุรุษที่รอบคอบ รู้จักคิด รู้จักการป้องกัน ทั้งตัวเอง (จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) และคู่ของคุณจากโรคติดต่อ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ 13. รักสนุกแล้วค่อยคิดคุมกำเนิด สบายใจได้ 100% : เพราะคิดแบบนี้กัน ปัญหาสังคมจึงยังมีให้วิ่งตามแก้ทุกวัน โดยเฉพาะในกลุ่มหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ประสบพบพักตร์กันแล้วเคมีในร่างกายระเบิดจุดประกายไฟปรารถนา พอเวลามีอะไรกันแล้วจึงนึกได้ ฝ่ายหญิงค่อยไปหายาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์มากิน โดยคิดว่าสบายใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่เห็นมาแล้วนั้นมีพลาดเสียก็เยอะ พลั้งขึ้นมาเกิดตั้งครรภ์ตอนที่ยังไม่พร้อม หรือติดเอดส์ขึ้นมา ปัญหาอีกร้อยแปดก็จะรุมเร้าแน่ๆ ข้อสำคัญมีงานวิจัยบอกว่า ยาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์หลังมีเพศสัมพันธ์ได้เพียง 85 เปอร์เซนต์เท่านั้น แถมยังต้องกินหลังมีเพศสัมพันธ์ทันทีไม่เกิน 1 ชั่วโมงจึงจะได้ผล เพราะฉะนั้นทางที่ดี หากคิดว่าตัวเองมีแนวโน้มจะเปิดตัวไปมีเซ็กส์กับใคร หรือแม้แต่กับคู่ตัวเองก็ตาม หากยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบกับชีวิตน้อยๆ อีกชีวิตหนึ่ง ไม่คุณก็คู่ควรเตรียมอุปกรณ์คุมกำเนิดพกใส่กระเป๋าไว้บ้าง หากฝ่ายหญิงไม่ได้กินยาคุมกำเนิดเป็นกิจวัตรทุกวันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็กรุณาตั้งสติสะกิดฝ่ายชายแล้วยื่นถุงยางอนามัย บังคับให้เขาใส่ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวคุณทั้งคู่เองนะครับ

ลดภาษี เรื่องใหญ่(อ่านแล้วดีเลยไปก้อบมาเล่าต่อครับ)

พูดถึงคำว่า “ภาษี” คำคำนี้ช่างแสลงใจใครต่อใครถือเป็นโจทย์ ใหญ่ของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จะต้องทำยังไงให้ผู้คนในประเทศนี้ ยอมรับ และมองโลกในแง่ดีกับคำที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคบด้วยซักเท่าไหร่
ยิ่งเป็นคนทำธุรกิจ พ่อค้าวาณิชน้อยใหญ่... จะยิ่งอยากห่างไกลให้ได้มากที่สุด ไม่เชื่อก็ลองสำรวจความคิดเห็นดูก็ได้ ถามไถ่ซักร้อยคน...ดูว่าจะมีกี่คนที่ไม่เบือนหน้าหนี
เรื่องนี้คงไม่สามารถทำให้คนรักคนชอบได้ในเร็ววันหรอกครับ มันสั่งสมมาเป็นร้อยปี ถ้าจะแก้ไขก็ต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องใช้กลยุทธ์มากเอาการถึงจะค่อยๆ สร้างทัศนคติที่ดีกลับมาได้บ้าง เอาไว้คราวถัดไปจะขอเสนอหน้าขายไอเดียให้ท่านเสนาบดีที่เกี่ยวข้องลองพิจารณานะครับ
แต่ถึงวันนี้...ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่า รัฐบาลชุดนี้...มีความตั้งใจดีที่จะช่วยเหลือผู้คนในสังคมให้อยู่ดีกินดีขึ้น ก็มาตรการลดหย่อนภาษีตั้ง 19 ข้อ...ที่รัฐบาลผลักดันออกมาให้เมื่อไม่นานนี้ไงครับ
โดยส่วนตัว...ผมต้องขอโค้งคำนับซัก 3 ครั้ง ที่ยังอุตส่าห์นึกถึงหัวจิตหัวใจผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยในบ้านในเมืองนี้ แม้การลดหย่อนภาษีที่ว่าจะเป็นแค่ยาหม้อเล็ก ใช้รักษาโรคทางธุรกิจได้บางส่วน แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พ่อค้าแม่ขายได้แต่นั่งรอความตายอย่างหมดหวัง
ผมอยากไล่ให้ฟังว่า มีมาตรการลดหย่อนภาษีตัวไหนที่ผู้ประกอบการไทยจะได้ประโยชน์บ้าง
ข้อ 6. ห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 ถ้าเงินได้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี...ข้อนี้ดีมาก เพราะกระชากใจชาวบ้านที่รวมตัวกันทำกิจการเล็กๆ ในชุมชน สินค้าดี...พอขายได้...ใช้จ่ายในกลุ่มก้อน ทำให้คนมีงานทำ มีรายได้แบ่งปันกัน ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เป็นเรื่องที่น่าส่งเสริมอย่างยิ่ง...นี่จึงเป็นโอกาสทองของคนในท้องถิ่นที่จะรวมตัวกันทำมาหากินเดือนละไม่เกินแสนก็ไม่ต้องเสียภาษีครับ
ข้อ 7. ปรับปรุงภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่มีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท (เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2551 เป็นต้นไป) ยกเว้นภาษีกำไรสุทธิส่วนที่ไม่เกิน 1.5 แสนบาท ส่วนที่เกินคิดในอัตราเดิม...ข้อนี้ดีสำหรับเถ้าแก่น้อยหรือผู้ประกอบการหน้าใหม่ ธุรกิจไซส์เล็กไม่เกิน 5 ล้านบาท ถือว่าน่าส่งเสริม แม้ว่าของเดิมไม่ต้องเสียภาษีถ้าธุรกิจขาดทุน ซึ่งส่วนใหญ่ก็พยายามเลี่ยงภาษีด้วยการทำให้กิจการไม่มีกำไร ต้องไปเสียเงินเสียทองแพงๆ จ้างคนมาตกแต่งบัญชีให้ขาดทุน แต่หลังจากนี้ไม่ต้องหลบหนีไปไหน ว่ากันได้ตามตรง เป็นการทำให้คนทำธุรกิจกลับเข้าระบบมากขึ้น
ข้อ 8. ให้บุคคลธรรมดา บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน หักค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน (ทรัพย์สินจะต้องได้มาและพร้อมใช้งานได้ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2553) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.25 เท่าของค่าใช้จ่าย...แปลว่า ซื้อมา 100 แต่หักได้ 125 ทำให้กำไรลดลง กิจการก็เสียภาษีน้อยลง
เรื่องนี้ดีทั้งในแง่การลงทุน...ดีทั้งในเรื่องประหยัดพลังงาน กิจการไหนกำลังจะเปลี่ยนหม้อแปลงหรือเครื่องจักร ก็ฟาดเหนาะๆ สองเด้ง กิจการไหนเป็นคนขายเครื่องจักรดังว่า ก็เตรียมอ้าแขนรับลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่นอน
ข้อ 9. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตสินคาหรือให้บริการ (ทรัพย์สินจะต้องได้มาและพร้อมใช้งานภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2553) สามารถหัก 40% ในวันที่ได้ทรัพย์สินมา ส่วนที่เหลือให้หักอัตราปกติ...ประเด็นนี้จะได้ประโยชน์ ทำให้ปีแรกหักค่าเสื่อมราคาได้สูงถึง 40% ก่อนเลย เท่ากับว่าจะทำให้เหลือกำไรสุทธิไปเสียภาษีน้อยลง เหลือเงินไปขยายกิจการได้เพิ่มขึ้น แบบนี้ก็น่าลงทุนล่ะสิ
ข้อ 10. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ประเภทโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใน 3 รอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ได้รับทรัพย์สิน...นี่ก็เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ยุคนี้แทบทุกกิจการมักจะซื้อซอฟต์แวร์มาใช้ในการบริหารจัดการ ถูกบ้างแพงบ้าง เที่ยวนี้ก็ลงทุนได้เลย เพราะหักค่าเสื่อมได้ ไม่ต้องไปแอบก๊อบโปรแกรมชาวบ้านแบบผิดกฎหมายอีกแล้ว
ข้อ 11. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท และจ้างงานไม่เกิน 200 คนหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ 40% ในวันที่ได้ทรัพย์สินมา ส่วนที่เหลือให้หักภายใน 3 รอบบัญชี...
ข้อนี้เน้นที่เป็นธุรกิจ SMEs โดยตรง ให้สิทธิปีแรกหักค่าเสื่อมเยอะหน่อยก็จะทำให้เสียภาษีน้อยหน่อย เป็นประโยชน์ทั้งคนซื้อและคนขาย ทำให้ตลาดซอฟต์แวร์กลับมาคึกคัก ผู้คนในแวดวงนี้ก็จะได้มีช่องทางทำมาหากินเพิ่มขึ้น
ข้อที่เหลือจะเป็นเรื่องของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ และมีข้อท้ายๆ เกี่ยวกับการลดภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดฮวบจาก 3% เหลือ 0.1% ประหยัดภาษีได้อื้อเลย และลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% ..นี่ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้คนซื้อคนขายที่ส่วนใหญ่จะตกลงจ่ายคนละครึ่งได้มหาศาล
สุดท้ายข้อ 19.เป็นการลดค่าจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จาก 1% เหลือ 0.01% ...ตัวนี้คนที่แฮปปี้คือผู้ซื้อบ้านช่องห้องหอ คอนโดมิเนียม ตึกแถว ประหยัดค่าภาษีเอาเงินไปใช้หนี้ได้สบายๆ เลยครับ
ถามว่า...มาตรการลดภาษีเที่ยวนี้จะดีมากน้อยแค่ไหนยังไม่รู้...รู้แต่ว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ที่แน่ๆ กระชากกระแสการใช้จ่ายเงินได้แบบโดนใจ คนได้ประโยชน์เห็นๆ...คนเสียประโยชน์ยังมองไม่ชัด เราๆ ท่านๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายเหลือตังค์ใช้อีกหลายบาทแน่นอน
ยามนี้...มีคนยื่นมือมาช่วย...ย่อมดีกว่ามีแต่คนบอกให้ต้องปรับตัว...ลูกเดียว
ทำธุรกิจ...ก็เหมือนกับ...ขับรถให้ถึงเป้าหมาย
วันนี้...เรามีเป้าหมาย เรามีรถ...เราสามารถเตรียมรถให้พร้อม เราสามารถหาแผนที่หาเส้นทางที่จะไปได้แล้ว
และวันนี้รัฐบาลได้จัดแหล่งเงินทุนไว้รองรับมากมายหลายแบงก์ และยังช่วยลดหย่อนภาษีให้ตั้งหลายอย่าง...เปรียบไปก็เหมือนรัฐบาลทำเส้นทางทำถนนให้พร้อมแล้ว...
ที่เหลือ...ก็อยู่ที่เราจะขับรถของเราไปให้ถึงเป้าหมายได้อย่างไร..
รถจะคว่ำคะมำหงาย...จะปีนป่ายขอบถนน...จะพ้นออกนอกเส้นทาง หรือวิ่งไปประสานงาคันอื่น...
อยู่ที่...คนขับรถ...ครับ

ตำนานนางสงกรานต์

ไหนๆก็ใกล้เทศกาลสงกรานต์กันแล้วผมจึงอยากนำเสนอเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยเกี่ยวกับสงกรานต์ให้ทุกท่านได้รับทราบกัน
ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน
ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้
ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ
จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู)
ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง)
ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)
สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า
วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
วันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ
วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551

ขอเชิญทุกท่านช่วยกันวิจารณ์เกี่ยวกับบลอคด้วยครับ

ขอเชิญทุกท่านช่วยกันวิจารณ์เกี่ยวกับบลอคด้วยครับ (จะด่าผมก็ได้นะครับ)

ก่อนอื่นต้องขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับทุกท่านที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมบลอคของผม
หลังจากที่ได้จัดสร้างบลอคขึ้นมาเป็นเวลาพอสมควรและได้มีการอัพเดทอยู่อย่างสม่ำเสมอ(ล่ะมั้ง)
ผมจึงอยากได้รับทราบถึงความรู้สึกต่อบลอคของผมจากท่านผู้เยี่ยมชมทุกท่าน( - - ยิ่งเขียนก็ชักจะยิ่งงเอาเป็นว่าทุกท่านช่วยกันวิจารณ์บลอคของผมทีนะครับผมขอร้อง ได้โปรด พลีส รับทุกคำวิจารณ์และพร้อมจะนำไปปรับปรุงครับ ขอบคุณครับ)

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2551

คุณรู้หรือไม่....


ไปรษณียบัตรใบแรกของประเทศไทยออกจำหน่ายเมื่อประมาณวันที่ 4 สิงหาคม 2426ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวราคา 1 อัฐ ออกแบบโดยนาย William riggewayพิมพ์ในประเทศอังกฤษ จำนวน 200,000 แผ่น นำออกใช้ 80,000 แผ่นขนาด ความกว้าง 11.95 - 12.35 ซม. ความสูง 7.35 - 7.65 ซม.

กราบขออภัยทุกท่านด้วยครับ

เนื่องจากอาทิตย์นี้งานชุกมาจริงๆครับประกอบด้วยตัวผมเองก็เป็นไข้ด้วยครับ อาทิตย์นี้ผมจึงยังไม่ได้ทำการอัพบลอคจึงขอกราบขออภัยทุกท่านมาณที่นี้ด้ววยครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

บทความนี้ผู้ปกครองควรพิจารณานะครับ

(ตด)และการจัดระเบียบในการ(ตด)
ข้อห้ามในการตด
1.ไม่ควรตดมีเสียง
2.ไม่ควรตดซ้ำกลิ่นเดิม(เพื่ออำพรางกลิ่น)
3. ไม่ควรอั้นอุจาระเป็นเวลานานเกินกว่าสามวันเพราะมันจะทำให้ตดเพิ่มดีกรีความเหม็นยิ่งขึ้น
4.ไม่ควรตดในที่แคบๆ หรือในที่อากาศท่ายเทได้ไม่สะดวก
5.ไม่ควรตดในขณะรับประทานอาหารหรือในโรงหนัง(ยิ่งหนังผียิ่งไม่สมควรตดเป็นอย่างยิ่งครับ)
6.ไม่ควรตดใส่ไมค์โครโฟน(เพราะจะทำให้เสียงดังเกินควร)
สถานที่ควรตด
1.สถานที่มีป้ายให้ตด
2.งานคอนเสิร์ต แนะนำให้เป็นพวกวงร็อคเฮฟวี่เมททัลที่มีตนตรีที่หนักน่วง หรือไม่ก็วงฮาร์ทคอร์ที่ชอบตะโกนแหกปากโหวกเหวกตามสมัยนิยม
3.สระว่ายน้ำ เน้นน้ำลึกเพื่อป้องกันการผุดขึ้นมาของฟองอากาศ
4.การแข่งขันการวิ่งมาราธอน วิ่งไปตดไปช่วยเพิ่มแรงดันทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น
วิธีสร้างระเบียบในการตดที่ดี
1.ตดในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือตดในที่ที่มีลมพัดแรง เพื่อให้ลมนั้นพัดกลิ่นตดที่จับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนนั้นแยกกระจายออกจากกันไปตามทิศทางของลม
2.ให้เราใช้มือเป็นตัวช่วยได้ในกรณีที่สถานที่นั้นๆมีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือลมไม่แรงพอ ให้เราใช้มือปัดไล่กลิ่นที่ตูดของตัวเองให้พ้นจากตัวเรา หลังจากเพิ่งตดเสร็จหมาดๆ
3.ในสถานะการณ์ที่เราอั้นอุจจาระเกินกว่าสามวันหรือคิดว่าตดแล้วน่าจะเหม็นอย่างไม่น่าให้อภัยเมื่อเราตดออกไปแล้วให้รีบเดินหนี กระชากตัวออกมาจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่เท่าที่จะทำได้ทำเหมือนมีธุระด่วนต้องรีบไปเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน
4.การตดในที่แคบๆอย่างเช่นในลิฟ ข้อควรระวังก็คือกลิ่นอาจจะไม่สามารถระบายออกได้ดีเท่าไหร่นักเวลาที่เราตดควรจะตดที่ละน้อยแต่พองาม ให้เรายัดหลักประหยัดมัธยัสและอดออม ตดหนึ่งส่วนและเก็บออมไว้ใช้ยามฉุกเฉินอีกสองส่วน เมื่อเราแบ่งตดได้เป็นสามส่วนตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ให้เราเบ่งแค่เศษหนึ่งส่วนสามของจำนวนตดทั้งหมด เมื่อตดแล้วให้รีบดมให้หมดโดยเร็ว หรือไม่ก็สะกิดคนข้างๆให้ช่วยสูดตดของเราก็ได้ไม่ว่ากัน
4.1.กรณ๊ที่เราไม่สามารถกลั้นตดได้จริงๆ (กรณีที่ยังอยู่ในลิฟ)ให้มันทะลึ่งออกมาโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น ปล่อยมันออกมาทั้งสามส่วนตามแต่สมควร เมื่อตดแล้วให้เราหันไปมองคนข้างๆด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามในพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของเขา เอามืออุดจมูกแล้วส่ายหน้า ทำเป็นเหมือนว่าตดที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่นั้นไม่ได้ออกจากตูดของเรา ให้คนอื่นมองว่าเขาเป็นคนตด
4.1.1.ถ้าเราคิดว่าทำตามข้อ 4.1 ได้ยังไม่เนียนหรือยังไม่ดีพอ ผมแนะนำให้ท่านไปเรียนการแสดงช่องสามครับ ไปเรียนแอ็คติ๊งซ่ะจะได้ทำเสแสร้งได้อย่างสมบทบาท(เผลอๆอาจได้รับรางวัลตุ๊กตาทองอีกต่ะหาก)
5.ถ้าเราเป็นบุคคลที่รักการตดเสียงดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแก้ไม่หายเสียที คำแนะนำที่ดีสำหรับคนที่ตดไม่เก็บเสียงก็คือการใช้เสียงกลบเสียงตด(มีแบบนี้ด้วยเหรอ) ให้เราใช้การตะโกนหรืออุทานหรือทำอะเสียงอะไรก็ได้เพื่อให้ดังกว่าเสียงตด ยกตัวอย่างเช่น
(กรณีผู้ชาย) ขณะที่เราปวดตดมากแต่พบเพื่อนโดยบังเอิญ ให้เราตะโกนออกไปทันทีว่า เฮ้ย............พร้อมกับเสียงตดของเรา...คำนวณระยะเวลาการตดให้พอดีกัน... "เฮ้ย....พร้อมกับ..ปู้ด ตู้มหรือบึ้ม(แล้วแต่ตูดใครถนัดเสียงไหนก็ใช้เสียงตามเอกลักษญ์เฉพาะตัว)....ไปไหนมาว่ะเพื่อน"
(กรณีเป็นผู้หญิง)เสียงตดของผู้หญิงนั้นจะมีเอกลักษญเฉพาะตัวที่โดดเด่นมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนโยนและค่อนข้างมีระเบียบมากกว่าผู้ชาย ยกตัวอย่างเช่นแกล้งทำของอะไรซักอย่างร่วงพร้อมกับอาการปวดตดอย่างแรงกล้า อุ๊ยตาย.....วี๊ด... ปู๋..หรือไม่ก็ วิ้ววี้ด......แม่หกตกหาย(ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะอุทานเช่นนี้) ข้อควรระวังในกรณีนี้ก็คือการกะจังหวะตดให้พอดีกับเสียงครับ ทางที่ดีเราควรจะหมั่นซ้อมให้บ่อยครับ เผื่อเอาไว้ใช้แก้สถานะการณ์เฉพาะหน้าเมื่อมันเกิดขึ้นจริง เห็นไหมล่ะครับการจัดระเบียบการตดที่ดีนั้นไม่ยากเลยใช่ไหมครับ การตดที่ดีนั้นทำให้ชีวิตมีความสุขได้ การตดที่ไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น แต่ก็ไม่ต้องเผื่อแผ่ผู้อื่น ตดให้ดีนั้นไม่ยากเลยครับถ้าเรารู้จักการตดที่ดี จำไปใช้ไม่ว่ากัน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ตดให้เร็ว ตดให้ไว ตดได้ให้ล้านนึง
ถ้าริจะเอาดีทางด้านการตดก็ควรไปลงกินเนสบุคครับทำสถิติการตดให้เหม็นที่สุดหรือดังที่สุดก็ได้
คำเตือน ล้างลำใส้ทุกครั้งเมื่อคิดจะตด

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ศาลให้ประกันตัว‘ทักษิณ' 8 ล้าน-นัดพิจารณาคดี12มี.ค.


28 ก.พ.) ที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 เข้ามอบตัวต่อศาลในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.45 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดง ที่ อม.1/2550 มาส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามหมายจับเลขที่ 1/2550 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี พร้อมยื่นหลักทรัพย์เป็นสมุดบัญชีเงินฝากจำนวน 8 ล้าน เพื่อขอประกันตัวอย่างไรก็ตาม หลังศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยที่ 1 โดยตีราคาหลักประกัน 8 ล้านบาทถ้วน พร้อมทำสัญญาประกัน ยึดสมุดเงินฝาก แจ้งอายัด และเพิกถอนหมายจับ พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์ ห้ามจำเลยที่ 1 เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากศาล และห้ามทำการใดๆ อันจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดี มิฉะนั้นจะถอนประกันทันที ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ กำหนดวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรกในวันที่ 12 มี.ค.นี้ เวลา 09.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับการประกันตัวก็เดินทางออกจากศาลฏีกาฯ ในทันที เพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหาในคดีปกปิดโครงสร้างหุ้น เอสซี แอสเซทฯ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกัน ที่สำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คุณรู้จักกาแฟดีแค่ไหน


กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกาแฟคั่วซึ่งได้จากต้นกาแฟ นิยมดื่มร้อนๆ แต่สามารถดื่มแบบเย็นได้ด้วย บางครั้งนิยมใส่นมหรือครีมลงในกาแฟด้วย ในกาแฟหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 80-140 มิลลิกรัม กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับชาและน้ำ นอกจากนี้ กาแฟยังเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับที่หกของโลก เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย (ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ชื่อคาลดี จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินผลไม้สีแดงของต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งก็คือต้นกาแฟนั่นเอง ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น คำว่ากาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะกลายเป็น คอฟฟี ในภาษาอังกฤษ และกาแฟ ในภาษาไทย ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก จึงส่งออกเฉพาะเมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วเท่านั้น แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง โดยการลักลอบนำออกมาโดยชาวอินเดียที่ไปแสวงบุญที่เมกกะ และก็ได้แพร่ขยายไปยังชวา เนเธอร์แลนด์ และทั่วยุโรปในที่สุด สำหรับทวีปอเมริกานั้น ต้นกาแฟถูกนำไปอย่างยากลำบาก โดยทหารเรือฝรั่งเศสในต้นศตวรรษที่ 18 ในครั้งแรกนั้น มีต้นกาแฟที่เหลือรอดชีวิตบนเรือมาขึ้นฝั่งอเมริกาได้เพียง 1 ต้น และก็ได้แพร่ขยายเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ ได้กลายเป็นดินแดนที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลก
ชนิดของเมล็ดกาแฟ
กาแฟมีมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่พันธุ์หลักๆ ที่ได้รับความนิยมมี 2 พันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica) ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม และมีรสชาติดี และ โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีปริมาณคาเฟอีนสูง และสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ (คำว่า robust ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทนทาน) ด้วยความที่มีความทนทานมากกว่านี้เอง จึงทำให้กาแฟโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า แต่ผู้คนนิยมดื่มไม่มากนักเนื่องจากมีรสขมและเปรี้ยว ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดีมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ แบบผสม (เอสเพรสโซ่มีสองแบบใหญ่ๆ คือแบบที่เป็นอาราบิก้าแท้ๆ กับแบบที่ผสมกาแฟชนิดอื่นๆ)
กาแฟอาราบิก้ามักจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชื่อท่าเรือที่ใช้ส่งออก ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดสองที่ได้แก่ ม็อคค่า (Mocha) และ ชวา (Java) กาแฟในปัจจุบันยิ่งมีความเจาะจงในที่ปลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีการระบุถึงประเทศ ภูมิภาค และบางครั้งต้องบอกว่าปลูกที่พื้นที่บริเวณไหนเลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟอาจจะถึงกับต้องประมูลกาแฟกัน โดยดูว่าเป็นล็อตหมายเลขเท่าใด กาแฟชนิดโรบัสต้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดชนิดหนึ่งได้แก่ โกปิ ลูวัค (Kopi Luwak) ของอินโดนีเซีย เมล็ดของกาแฟชนิดนี้ถูกเก็บขึ้นมาจากมูลของชะมด (Common Palm Civet) (ตระกูล Paradoxirus) ซึ่งกระบวนการย่อยภายในร่างกายชะมดทำให้ได้รสชาติที่ดีเป็นพิเศษ เรียกเป็นภาษาไทยว่า กาแฟขี้ชะมด
แหล่งผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียง
จาไมกา เป็นแหล่งผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก บลูเมาน์เทน ซึ่งปลูกบนยอดเขาสูง ผลผลิตเกือบทั้งหมดถูกส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น และที่เหลืออีกเล็กน้อยถูกส่งไป สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, และเยอรมนี ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงคือ ไฮเมาน์เทนซูพรีม (Hign Mountain Supreme) และ ไพรม์วอชท์จาไมกัน (Prime Washed Jamaican)
บราซิล ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 1 ของโลก ยี่ห้อมีชื่อคือ บราซิเลียน ซานโตส (Brazillian Santos)
โคลัมเบีย ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก กาแฟที่มีชื่อคือ ซูรีโม (Suremo)
ฮาวาย กาแฟขึ้นชื่อคือ โคน่า (Kona)
อินโดนีเซีย
ชวา วิธีการเฉพาะของที่นี่คือ การบ่มในโกดังพิเศษเพื่อให้เมล็ดกาแฟเปลี่ยนสี และมีรสชาติที่ดี
สุมาตรา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า กาแฟแมนเฮลิงและอันโกลาของชวา มีรสชาติดีกว่าบลูเมาน์เทนและโคน่าเสียอีก
อินเดีย มีกาแฟรสชาติเฉพาะตัว ชื่อมอนซูน มาลาบาร์ (Monsooned Malabar)
เอธิโอเปีย ประชากร 1 ใน 4 ของประเทศมีรายได้จากอุตสาหกรรมกาแฟ กาแฟที่นี่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากมีกาแฟป่าปะปนอยู่ แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้รสชาติมีความไม่แน่นอนสูงด้วยเช่นกัน กาแฟที่มีชื่อเสียงคือ ฮารา ลองเบอรี่ (Harrar Longberry) , ซีดาโม (Sidamo) , และคาฟฟา (Kaffa)
เคนยา พิถีพิถันเรื่องคุณภาพมาก กาแฟที่มีคุณภาพที่สุดคือ "เคนยา AA"
เวียดนาม ส่งออกกาแฟได้เป็นอันดับ 3 ของโลก
สำหรับประเทศไทยปลูกกาแฟโรบัสต้า ร้อยละ 98 โดยมากปลูกทางภาคใต้เช่น กระบี่ และชุมพร อีกประมาณร้อยละ 2 เป็นกาแฟอราบิก้าซึ่งปลูกมากตามดอยต่างๆ ทางภาคเหนือ กาแฟที่มีชื่อเสียงของไทยได้แก่ กาแฟดอยช้าง ซึ่งปลูกบนดอยช้าง จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นกาแฟได้จากกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล และรสชาติดีเทียบเคียงกับกาแฟที่มีชื่อเสียงของโลก
กาแฟประเภทต่างๆ
กาแฟดำ ชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเพรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ ถ้วยเสิร์ฟของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว
ปกติแล้วเอสเพรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม และคนไม่นิยม เอสเพรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน รสชาติของเอสเพรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที)
กาแฟขาว (White coffee) เป็นกาแฟที่เติมนมเข้าไปหลังจากทำเสร็จ อาจเติมน้ำตาลด้วยก็ได้
คาปูชิโน ประกอบด้วยเอสเพรสโซ, นมร้อน, และฟองนม ในสัดส่วนเท่าๆ กัน ให้รวมมีปริมาตร 4.5 ออนซ์ (เสิร์ฟในถ้วยขนาด 5 ออนซ์) ปกติจะตกแต่งด้วยผงอบเชย ลูกจันทน์เทศ (nutmeg) หรือโกโก้
ลาเต้ เป็นเอสเพรสโซผสมนมร้อน ปกติมักโปะข้างบนด้วยฟองนม ความเข้มข้นไม่มากเท่าคาปูชิโนเนื่องจากใส่นมเยอะกว่า (ลาเต้ เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ในอิตาลีเรียกลาเต้ว่า Caffè e latte หรือ caffelatte) Café au lait คล้ายลาเต้ยกเว้นใช้การชงด้วยการหยดแทนเอสเพรสโซ พร้อมด้วยนมในปริมาณที่เท่าๆ กัน อาจเติมน้ำตาลตามชอบ
อเมริกาโน ทำจากเอสเพรสโซ (หลายๆ ช็อต) กับน้ำร้อน เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับกาแฟที่ได้จากการชงแบบหยด แต่มีรสชาติต่างกัน
กาแฟเย็น มักเสิร์ฟพร้อมนมกับน้ำตาล
กาแฟแต่งกลิ่นและรส (Flavoured coffee) บางสังคมมักนิยมแต่งกลิ่นและรสกาแฟ ช็อกโกแลตเป็นสิ่งหนึ่งที่นิยมเติมกัน อาจโดยการโรยข้างบน หรือผสมเข้ากับกาแฟ เพื่อเลียนแบบรสชาติของมอคค่า รสอื่นๆ ที่นิยมเติมได้แก่เครื่องเทศต่างๆ เช่น อบเชย, ลูกจันทน์เทศ (nutmeg) , กระวาน, และน้ำเชื่อมอิตาเลียน (Italian syrups)
กาแฟไอริช คือกาแฟที่ชงแล้วผสมด้วยวิสกี้ และมีชั้นของครีมอยู่ข้างบน
กาแฟกรองมัทราสตีฟอง/กาแฟกรองอินเดีย (มัทราส) (Indian (Madras) filter coffee) นิยมทั่วไปทางภาคใต้ของอินเดีย ทำจากกากกาแฟหยาบๆ ที่ได้จากเมล็ดที่ถูกอบจนไหม้ (อาราบิกา, พีเบอร์รี (PeaBerry)) ชงด้วยวิธีหยดประมาณสองถึงสามชั่วโมง ในตัวกรองโลหะแบบของอินเดียโดยเฉพาะ ก่อนที่จะนำไปเสิร์ฟกับนมและน้ำตาล โดยปกติมักมีสัดส่วนกาแฟหนึ่งนมสาม
กาแฟสไตล์เวียดนาม เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จากการชงแบบหยด ชงโดยการหยดน้ำผ่านตะแกรงโลหะลงไปในถ้วย ซึ่งมีผลให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้น จากนั้นนำไปเทผ่านน้ำแข็งลงไปในแก้วที่เติมนมข้นหวานไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากการชงกาแฟประเภทนี้ใช้กากกาแฟปริมาณมาก จึงทำให้การชงกินระยะเวลานาน
กาแฟกรีก หรือ กาแฟตุรกี ชงด้วยการต้มกากกาแฟละเอียดกับน้ำพร้อมกันในไอบริก ซึ่งเป็นหม้อทำจากทองเหลืองหรือทองแดงมีด้ามยาวและเปิดด้านบน เมื่อชงเสร็จ ก็จะนำไปรินลงในด้วยเล็กๆ โดยไม่กรองกากกาแฟออก ตั้งกาแฟทิ้งไว้สักพักก่อนดื่ม มักเติมเครื่องเทศและน้ำตาลด้วย
โกปิทูบรูค (Kopi tubruk) เป็นกาแฟสไตล์อินโดนีเซียลักษณะเหมือนกับกาแฟกรีก แต่ชงจากเมล็ดกาแฟหยาบ และต้มพร้อมกับน้ำตาลปอนด์ปึกใหญ่ๆ นิยมดื่มในชวา, บาหลี, และบริเวณใกล้เคียง
กาแฟผงพร้อมชง (Instant coffee) เป็นกาแฟที่ถูกตากจนแห้งกลายเป็นผงหรือเม็ดเล็กๆ ซึ่งละลายน้ำได้ มันมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกาแฟสดและวิธีการชงก็แตกต่างกันด้วย ความเห็นต่อกาแฟประเภทนี้มีตั้งแต่ "ของเลียนแบบที่สุดจะทนดื่มได้" ไปจนถึง "ทางเลือกที่ดี" และ "ดีกว่าของแท้" ในประเทศที่มันได้รับความนิยม มักจะเรียกมันว่า "กาแฟปูโร (Café Puro) " ในฐานะที่มันเป็นที่ขยาดของพวกเซียนกาแฟ

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

50 ร้านอร่อย ที่ต้องลอง! ! ! [เมนูหม่ำ ใน กทม.]

1. โจ๊กสามย่าน : ถามใครๆ ก็บอกว่า ทีเด็ดอยู่ที่หมูหมักก้อนกลมกล่อม ประกอบกับเปิดขายเฉพาะช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน และช่วงเย็นประมาณ หลังเลิกเรียนพอดี เลยกลายเป็น เสบียงให้นิสิตอิ่มท้องจนเรียนจบมาแล้วนักต่อนัก
2. ข้าวราดแกงวัดเล่งเน่ยยี่ : ในซอยมังกร ข้างวัดเล่งเน่ยยี่ถนนเจริ­กรุง ขึ้นชื่อในแกงประเภทแกงกะทิ โดยเฉพาะแกงเนื้อ..มาขายตั้งแต่ประมาณ 16.00น. เป็นต้นไป
3. โจ๊กหม้อดิน ซอยมหาดไทย : ใช้หม้อดินมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เพราะหม้อดินเป็นภาชนะธรรมชาติ ปลอดสารพิษเวลาโดนความร้อน แถมเก็บ ความร้อนไว้ได้นาน เนื้อหมูใช้หมูที่ไม่มีมัน ส่วนข้าวก็ใช้ข้าวหอมมะลิ ปัจจุบันเปิดขายแฟรนไชส์ แบ่งปันกำไรและความอร่อยกันให้ทั่วๆ สนใจ ติดต่อที่ โทร 934-3995
4. ข้าวขาหมูสีลม : อยู่ในซอยตรงข้างโรงพยาบางเลิดสิน คนแถวนั้นรู้จักในนามขาหมูโกโก้ ใครอยากมาลองต้องรีบมาช่วงเที่ยง หลังบ่ายโมง ไม่รับประกัน เพราะจะขายหมดเร็วมาก
5. ข้าวมันไก่ตอนประตูน้ำ : นอกจากข้าวและไก่จะมีรสดีได้มาตรฐานแล้ว ที่ใครๆออกปากเห็นจะเป็นน้ำซุปร้อนๆ หอมและหวานน้ำต้มกระดูกไก่
6. ข้าวหมูแดงสีมรกต : ไม่ต้องสงสัยว่าข้าวหมูแดงทำไมเป็นสีเขียว..จริงๆ แล้วคือนามสกุลเจ้าของร้าน มีทีเด็ดตรงที่ทุกอย่างล้วนผ่านกรรมวิธีการย่าง ย่างมาตลอดสี่สิบกว่าปี ร้านอยู่ในตรอกโรงหมู ตรงข้ามวัดไตรมิตร ขายเวลา 11.30น.-22.00น
7. ข้าวขาหมูเหม่งจ๋าย : จากแยกเหม่งจ๋ายมุ่งหน้ามาทางที่จะทะลุถนนเลียบทางด่วน จะเห็นร้านอาหารหลายร้านอยู่ด้านขวามือ ข้าวขาหมูร้าน ที่ว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนรักเครื่องในและหมูกรอบ
8. ข้าวผัดปู : อาหารจีนชนิดอื่นๆ ทั้งกระเพาะปลา รังนก กระทั่งหูฉลามทั้งหมดราคาย่อมเยาและรสชาติสมเป็นอาหารจีนแท้ๆ โดยไม่ต้องขึ้นเหลา มีผัดหมี่หยังโจวกับข้าว ผัดปูเป็นเมนูหลัก ร้านเปิดขายประมาณ 18.00 น. เป็นต้นไป ที่ห้าแยก ณ ระนอง ตรงข้ามสโมสรการท่าเรือ
9. ก๋วยเตี๋ยวหลอดเยาวราช : ร้านแรกเป็นรถเข็นอยู่ต้นถนนเยาวราชฝั่งขวา ก่อนแยกเข้าถนนผดุงด้าวสังเกตได้จากปริมาณคลื่นคนที่อออยู่หน้าร้าน ลูกค้าบอกว่ามีดีที่เครื่องเยอะและรสชาติเข้มข้นหรือถ้าอยากชิมก๋วยเตี๋ยวหลอดแบบที่ยังคงความเป็นหลอดไว้ ก็ต้องเดินเลยมาอีกนิด อยู่ ฝั่งซ้ายมือ ปากซอยที่มีร้าน 7-11 อยู่ด้านใน เด็ด..เช่นกัน
10. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใสศรีย่าน : ตู้ใส่เส้นและลูกชิ้นค่อนข้างเก่าเนื่องจากทำมาหลายสิบปี แต่ก็ยังคงความอร่อยของลูกชิ้นไว้เช่นเดิม อยู่บริเวณตลาดศรีย่าน
11. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเด้งได้ : เป็นร้านพี่น้องอยู่ใกล้ๆ กันบริเวณท่าน้ำราชวงศ์ กระซิบว่าเจ้าของร้านไม่ค่อยอยากให้ลง แต่เพราะความอร่อยของลูกชิ้นและเส้นที่เหนียวนุ่ม เราจึงจำเป็นต้องแนะนำใครจะแวะไปชิม กรุณาอย่าบอกว่าอ่านเจอจากที่นี่..ขอบคุณครับ
12. หมี่กรอบจีนหลี สมัย ร.5 : เรื่องมีอยู่ว่า คุณทวดของเจ้าของร้านอพยพมาจากเมืองจีนมาทำหมี่กรอบ ขายอยู่บริเวณท่าน้ำตลาดพลู ซึ่งเป็น ย่านที่มีขุนนางอาศัยอยู่เยอะ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าหลวงปลอมพระองค์เสด็จฯ ตรวจราชการ แล้วทรงได้กลิ่นหมี่ใกล้สุก เมื่อเสด็จฯ ครั้งต่อๆ มา จึงแวะเสวย และมีพระราชดำรัสให้ไปผัดในวัง ปัจจุบันหมี่กรอบจีนหลียังตั้งอยู่ที่เดิม ขายสิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม
13. ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย สมทรงโภชนา : เจ้าของสูตรซึ่งเป็นชาวสวรรคโลกแท้ๆ เพิ่มเสียชีวิตได้ไม่นาน พี่วรรณลูกสาว จึงรับหน้าที่ปรุงรสก๋วยเตี๋ยวให้ได้ครบรส เดิมตั้งอยู่ในซอยวัดสังเวช ถนนท่าพระอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ขยับขยายขึ้นไปอยู่บนศูนย์อาหารเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
14. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาโบราณ จันทบุรี : ร้านตั้งอยู่เลยวัดตรีทศเทพ เลี้ยวซ้ายไปเล็กน้อย เป็นลูกชิ้นปลาทำเองจากเจ้าของร้าน กิตติศัพท์เรื่อง รสชาติมีมาก พอๆ กับการไม่ง้อลูกค้าคนเรื่องมากต้องระวังจะถูกเชิ­ญให้ไปรับประทานร้านอื่น
15. ก๋วยเตี๋ยวไหหลำ : แปลกกว่าก๋วยเตี๋ยวธรรมดาตรงเส้นที่คล้ายเส้นเกี้ยมอี๋ แต่ยาวกว่า ใส่ผักกาดดองตามสูตรไหหลำ เนื้อหมูและวัวเลือกมา อย่างดี อยู่ตรงสะพานขาว ถนนลูกหลวง ใกล้โรงหนังแอมบาสเดอร์เก่า
16. เย็นตาโฟวัดแขก ถนนสีลม : ใครเคยไปบริเวณวัดแขก จะเห็นว่าทุกร้านล้วนขึ้นป้ายว่าเย็นตาโฟวัดแขกเจ้าเก่า แนะนำได้เพียงว่า ร้านดั้ง เดิมคือร้านที่อยู่ใกล้กับวัดแขกมากที่สุด แต่เรื่องรสชาติต้องลองชิมดูเองว่าร้านไหนจะถูกปากใครมากกว่าจานเด่นจานเด็ด”
17. ไก่ย่างแม่วันเพ็­ : ไก่ย่างและไก่ย่างทอดร้อนๆ ทอดจนกรอบ แล้วโรยเครื่องเทศให้หอม เข้าได้ทั้งจากซอยอาภาภิรมย์ ข้างกรมการค้าส่ง ออกถนนรัชโยธิน หรือจากซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าวก็ได้ ผู้ไม่คุ้นทางสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 0 1818 2608
18. กระเพาะปลาน้ำแดง : ใช้เวลาเตรียมแต่เช้ามืดเพื่อเปิดขายตอนประมาณสี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม เพราะต้องเคี่ยวกระดูกไก่นาน 4 ชั่วโมง ผสมกับ เครื่องปรุงอย่างดี ทำให้ได้น้ำหอมหวาน แต่เดิมขายในรถ เดี๋ยวนี้กลายเป็นแผงอยู่หน้าที่จอดรถตลาดสวนหลวง ใกล้สนามกีฬาแห่งชาติ
19. อาหารไทย ร้านครัวอรรถรส ซอยเสือให­่อุทิศ :มีทั้งก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ส้มตำผลไม้ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ฯลฯ รวมไว้ในร้านเดียวกัน เจ้าของรวบรวมอาหารอร่อยจากที่ต่างๆ มาพัฒนารสชาติ ปรับส่วนที่เข้มข้นเกินไปให้อร่อยลงตัวไปอีกแบบ หาร้านไม่เจอโทรศัพท์ถามได้ที่ 0 2541 7043
20. ส้มตำจตุจักร : ฝั่งตรงข้ามตลาด อ.ต.ก. ผ่านซุ้มหนังสือเก่าเลี้ยวขวา จะเจอร้านส้มตำฝุ่นตลบ ซึ่งมีอาหารอีกหลายอย่างให้เลือก อาทิ ไก่ทอด หมูยอ ก๋วยจั๊บ­วน ที่อร่อยอาจเป็นเพราะรอนานจนหิวก็เป็นได้
21. ปลาหมึกย่างสยามสแควร์ : คุณป้าใช้ปลาหมึกสดๆ จิ้มน้ำจิ้มรสเด็ด ราคาอาจสูงไปนิด แต่ก็สมเหตุสมผลกับค่าทำเล และคุณภาพอาหารอยู่ในสยามสแควร์ ซอย 4
22. ไก่ทอด 7 กระทะ : ไก่ทอดจนกรอบเกรียม รวมกับกระเทียมเจียวร้อนๆ ทำให้มีลูกค้ามากมายมายืนรอ เมื่อไม่ทันใจจึงต้องใช้กระทะถึง 7 ใบ จากแยกรัชดา-สุทธิสาร มุ่งหน้าเข้าแยกที่จะลัดออกสู่ลาดพร้าวอยู่ทางซ้ายมือ
23. ไก่ทอดเจ๊กี : บางคนเรียกไก่ทอดโปโล เพราะตั้งอยู่ในซอยโปโล ตรงข้ามสวนลุมพินี เป็นร้านเก่าร้านแก่ตั้งแต่รุ่นเจ๊กี คือคุณแม่ คิดสูตรไก่ ทอดโรยกระเทียมเจียวหอม พร้อมอาหารประเภทส้มตำ น้ำตก เปิดบริการตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า มีบริการจัดส่งบริเวณใกล้เคียง โทรศัพท์สั่งได้ที่ 02655 8489
24. เป็ดย่างพูลสิน : เลยวัดตรีทศเทพมาเล็กน้อยเป็ดย่างสุกกำลังเหมาะจนหนังกรอบ เนื้อนุ่ม ไม่เหนียว
25. ห่านพะโล้ฉั่วคิมเฮง : ตรงมาจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ข้ามแยกคลองตันมาถนนพัฒนาการ จะเห็นร้านให­่ซ้ายมือ ร้านดั้งเดิมปัจจุบันยัง อยู่ท่าดินแดง ชื่อฉั่วกิมฮวด เก่าแก่ จนได้รับฉายาว่าเป็นห่านสามชั่วคน
26. ไก่ย่างจิรพันธ์ : ร้านขายอาหารอิสลามล้วนๆนอกจากไก่ย่างยังมีเนื้อสะเต๊ะ ข้าวหมกไก่ แถมด้วย ข้าวหมกแพะ จากถนนรามคำแหงเลี้ยว ซ้ายที่แยกพระราม 9 มุ่งหน้าไป ทางมอเตอร์เวย์ จะอยู่ทางซ้ายมือ เลยปั๊มเชลล์ไปประมาณ 500 เมตร
27. เนื้อย่างเกาหลี สูตรบึงพลา­ชัย : ต้นตำรับดั้งเดิมขายอยู่ใกล้ๆบึงพลา­ชัย จังหวัดร้อยเอ็ดคุณนิภานำสูตรมาตั้งร้านที่หมู่บ้าน ต.รวมโชค ซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าว จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปรอบๆหม้อย่างสามารถทานได้เลย เพราะผ่านการปรุงมาแล้ว
28. สะอาด : ขายเสต๊กที่ผ่านการดัดแปลงรสชาติให้เข้ากับคอคนจีนได้เป็นอย่างดี ในร้านยังมีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส เป็นเมนูเด็ดประจำร้าน อยู่ บนถนนอิสรภาพ ใกล้สี่แยกบ้านแขก
29. ห่านพะโล้สะพานเหลือง : ผ่านการต้มมาอย่างดีจนเนื้อไม่เหนียวและไม่คาวเหมือนห่านพะโล้ทั่วๆ ไป อยู่ย่านสะพานเหลือง ริมถนนพระราม 4 ถ้ามุ่งหน้าหัวลำโพงจะอยู่ ด้านซ้ายมือ ก่อนถึงแยกบรรทัดทอง “อาหารว่างและของหวาน”
30. กาแฟโบราณเอี๊ยะแซ : โบราณสมชื่อ เพราะเปิดมาแล้วเจ็ดสิบกว่าปี ใช้เมล็ดกาแฟจากไร่ประจำ นำมาคั่วทำให้ได้รสกาแฟแท้ดั้งเดิม เปิด รับคนตื่นเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่งไปจนถึงสี่ทุ่ม ที่ร้านบนถนนเยาวราช-พาดสาย ตรงข้ามเท็กซัสสุกี้ นอกจากนี้ยังหาดื่มได้ตามศูนย์อาหารทั่วกรุงเทพฯ และเซ็นเตอร์พ้อยท์ เอาใจคอกาแฟรุ่นใหม่
31. ขนมเบื้องวังเดิม : สังเกตเห็นได้ง่าย เนื่องจากมีขนาดให­่กว่าขนมเบื้องธรรมดา ใช้แป้งถั่วเขียวละเลงเป็นแผ่น เพราะหอมกว่าแป้งสาลีแล้ว เคลือบด้วยไข่ มีให้เลือกทั้งไส้หวาน และไส้เค็ม ชื่อวังเดิมเพราะร้านเก่าอยู่แถววังเดิม เดี๋ยวนี้อยู่ลานอาหารไทย ดิโอลด์สยามพลาซ่า
32. ไอศกรีมทิพรส : ไอศกรีมกะทิหลากชนิด มีให้เลือกทั้งกะทิโบราณ กะทิรวมมิตรและกะทิทรงเครื่อง มีบริการแพ็คกลับบ้านได้ ราคาไม่แพง อยู่บริเวณสี่แยกเตาปูน มุ่งหน้าไปทางตลาดเตาปูน
33. ร้านขนมไทยหวานดำรงค์ : ร้านปัจจุบันเปิดมาตั้งแต่ปี 2508 ได้มรดกทางฝีมือการทำขนมมาจากคุณแม่ ซึ่งเจ้าของร้านถ่อมตัวว่าไม่ได้มา จากวังไหน แต่คุณห­ิงหลายๆ ท่านก็มาสั่งทำขนมชั้นขนาดใญ่­่ ตะโก้และขนมเปียกปูน อยู่เสมอๆ ร้านเปิดเจ็ดโมงเช้า ถึงหนึ่งทุ่ม หยุดวัน อาทิตย์ อยู่ในตลาดเจริ­ผล ใกล้สี่แยกเจริญ­ผล หรือจะโทรศัพท์สั่งก็ย่อมได้ ที่ 0 215 2345
34. ถั่วแปบ ซอยละลายทรัพย์ : เดิมขายสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ แล้วมาทำถั่วแปบเสริม แต่ด้วยความที่ถั่วแปบเจ้านี้แป้งนิ่มกำลังดี ลูกค้า หันมาซื้อกันมากจนทำไม่ทัน จึงต้องหันมาขายเฉพาะถั่วแปบเป็นหลัก ที่ซอยละลายทรัพย์ ถนนสีลม
35. ปอเปี๊ยะ/ มะตะบะ ท่าพระจันทร์ : กรรมวิธีการทอดต่างจากร้านอื่น ตรงทอดแป้งเป็นแผ่นบาง โรยด้วยไส้ นำมาซ้อนกัน 3 ชั้น ห่อด้วยแป้ง แล้วจึงทอดอีกครั้ง วิธีนี้จะทำให้มีความกรอบและนุ่มพอดิบพอดี ร้านใกล้ๆกันขายปอเปี้ยะทอดที่ใส่เครื่องกุ้งและหมูสับเต็มๆ คำ รสดีด้วย เครื่องเทศและความกรอบใหม่
36. โรตีกรอบ หน้าเพาะช่าง : พัฒนามาจากโรตีแผ่นกลมธรรมดา มาเป็นโรตีแผ่นสี่เหลี่ยมทอดจนกรอบ ใส่กล่องหรือใส่จาน แนะนำให้ทาน >ร้อนๆ จะอร่อยเป็นทวีคูณ
37. เซ็งซิมอี๊ : อี๊ หมายถึงแป้งที่ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ ส่วนเซ็งซิม หมายถึงชื่นใจ เซ็งซิมอี๊ ร้านที่ว่าเป็นร้านสะท้านโลกันต์ อยู่บริเวณตลาดสวน หลวงเช่นกัน ขายช่วงเย็นๆ ไปจนค่อนคืน
38. ลอดช่องสิงคโปร์ : ชื่อร้านประโยชน์ อยู่ระหว่างสามแยกกับวงเวียน 22 เป็นร้านเล็กๆ แต่รสชาติไม่เล็กเหมือนร้าน
39. ไอศกรีมไข่แข็ง : โดยการใส่ไข่แดงล้วนๆ ลงในไอศกรีมกะทิ ความเย็นจะกลบกลิ่นคาว กลายเป็นรสชาติหอมมันแทน ร้านอยู่ถัดจากเซ็งซิมอี๊ที่ตลาดสวนหลวงไปประมาณ 2-3 ห้อง
40. ซ่าหริ่มชูถิ่น : บอกชื่อไป ไม่มีใครไม่รู้จัก ขายทั้งซ่าหริ่มและขนมไทยอีกหลายชนิด คนชอบทำขนมหลายคนดีอกดีใจที่ร้านนี้มีแป้งทำขนมขาย พร้อมวิธีทำบอกเสร็จสรรพ แต่จริงๆแล้วร้านเขาขายแป้งมาแต่เดิมต่างหาก
41. มนต์ นมสด : ชื่อร้านคือชื่อเจ้าของร้าน คุณมนต์ช่วยคุณพ่อทำร้านนม-กาแฟ มาตั้งแต่ 10 ขวบ เริ่มตั้งแต่เป็นรถเข็น ย้ายที่แล้วที่เล่าจนมา ได้ที่ปัจจุบันอยู่ตรงข้ามศาลาว่า การกรุงเทพฯ เปิดขายตั้งแต่ 14.00น. – 24.00น. เน้นความซื่อสัตย์ที่ขนมปังสังขยาสดใหม่ทุกวัน และไม่ใส่ สารกันบูด
42. ราดหน้า 4 สี : คือสีของเส้น รวมกับสีน้ำตาลของหมูหมัก สีเหลืองของไข่ดาวและสีน้ำตาลเข้มของหมูแฮม ซึ่งจริงๆ แล้วคือหมูทอดกระเทียม แต่ลูกค้าเห็นว่าอยู่คู่กับไข่ดาว ก็เลยพากันเรียกหมูแฮมจนติดปาก ร้านชิ้งกี่ เคยมีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ รวมทั้งคนให­่ญ่คนโตหลายๆ ท่านมาแล้ว อยู่ใกล้สวนรมณีย์นาถ ถัดจากซอยร้านหวายนายเหมือนไปหนึ่งซอย
43. ผัดไทยสำรา­ราษฎร์ : ผัดไทยร้านนี้เป็นผัดไทยกุ้งสดเจ้าแรกของเมืองไทย ตั้งอยู่ตรงข้ามประตูผัดวัดสระเกศ ใกล้ๆกันมีผัดไทยทิพย์ สมัยให้เลือกชิมได้อีกที่ ในบริเวณเดียวกันจะมีอาหารอร่อยหลายร้าน แต่ขอให้ระวังสอบถามราคาก่อน เพราะอาหารบางร้านก็ราคาแพงอย่าง ไม่น่าเชื่อ
44. เย็นตาโฟประตูผี : เลยร้านผัดไทยมาจะเห็นร้านตี๋เย็นตาโฟ อยู่ตรงหัวมุมแยกสำรา­ราษฎร์ ตั้งโต๊ะขายช่วงกลางคืนเต็มพื้นที่ และคนก็ มากพอๆกับจำนวนโต๊ะ สอบถามได้ความว่าลูกชิ้นมีหลากหลาย และน้ำซุปก็อร่อยเกินหน้าเกินตาเย็นตาโฟร้านอื่น
45. ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ : ร้านที่แนะนำนี้ทำทั้งก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ และก๋วยเตี๋ยวอบไก่ สูตรแรกจะคั่วเส้นกับไข่จนหอมแห้ง อีกสูตรใส่ไข่แล้วปิดฝาหม้อ ให้กลิ่นอบอยู่ข้างใน อยู่ซอยตรงข้ามโรงพยาบาลกลาง
46. ก๋วยเตี๋ยวคั่วทะเล : ร้านนี้ขายทั้งคั่วทะเลและคั่วไก่ แต่ที่ขึ้นชื่อจะเป็นคั่วทะเล เพราะใส่ทั้งกุ้งและปลาหมึกให้ด้วย อยู่ในซอยข้างตลาด วรจักร หาไม่ยาก แต่ทางวังเวงเล็กน้อย สาวๆ อยากลองควรหาใครไปเป็นเพื่อนสักคนสองคน
47. ข้าวมันไก่เจ๊ยี : ตรงข้ามวัดสระเกศ ขึ้นชื่อเรื่องข้าวมันแสนนุ่ม และไก่ต้มยุ่ยกำลังดี ขายช่วงสายๆ จนถึงกลางวัน ต้องรีบไปเช่นกัน เพราะ ช้าหมดจะอดชิม
48. ข้าวต้มปลา 5 แยก : บริเวณ 5 แยกพลับพลาไชย ความอร่อยอยู่ที่ความสดของเนื้อปลากะพง ปลาหมึก กุ้ง และหอยนางรมตัวโต เมื่อปรุงกับข้าวต้มร้อนๆ น้ำจะออกมาจากตัวเนื้อ ทำให้ข้าวต้มหอมและหวาน
49. ก๋วยเตี๋ยวหลอด : ก๋วยเตี๋ยวหลอดในซอยข้างสถานีตำรวจพลับพลาไชย ก็มีข้อดีที่เส้นนุ่มกำลังดี ไม่เหนียวเกินไป ไม่เละเกินไป และไม่มันเกินไป ทานอร่อยได้ไม่แพ้ ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง
50. ก๋วยจั๊บเผ็ด : เนื่องจากตำเม็ดพริกไทยใส่ลงไปตอนทำน้ำต้มกระดูก แถมโรยพริกไทยในชามอีกครั้ง เพื่อให้รสชาติเข้มข้นถึงใจ มีสาขา อีกร้านเป็น­าติกัน เปิดร้านให­่อยู่ตลาดเยาวราช แต่ความเข้มข้นอาจจะไม่เท่าเพราะที่นี่อาซิ่มท้าว่า คนเป็นหวัดมากิน. หวัดหายกันมาแล้ว ทุกราย ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยโรงเลี้ยงเด็ก แต่เจ้าของบอกว่าอยู่ในซอยนาคบำรุงต่างหาก ตัวเนื้อ >ทำให้ข้าวต้มหอมและหวาน

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

80 วิธีหยุดโลกร้อน

ไม่ว่าใครก็สามารถช่วยลดความร้อนให้กับโลกได้ตั้ง 80 ช่องทาง...
ประชาชนทั่วไป
1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี
2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง
3.เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb (CFL) เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก
4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%
6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์
7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย
8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร
9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ
10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ
11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก
12.เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน
13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา
14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน
15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี
16.ขับรถเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน เพราะมีบริษัทเช่ารถใหญ่ๆ 2-3 รายมีรถรุ่นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอทานอล หรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง
17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ
18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ
19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น
20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี
21.ยืดอายุตู้เย็นด้วยการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานให้ตู้เย็นด้วยการใช้อย่างฉลาด ไม่นำอาหารร้อนเข้าตู้เย็น หลีกเลี่ยงการนำถุงพลาสติกใส่ของในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นจ่ายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงอาหาร ควรย้ายตู้เย็นออกจากห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ละลายน้ำแข็งที่เกาะในตู้เย็นเป็นประจำ เพราะตู้เย็นจะกินไฟมากขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งเกาะ และทำความสะอาดตู้เย็นทุกสัปดาห์
22.ริเริ่มใช้พลังงานทางเลือกในอาคารสำนักงาน เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเฉพาะจุด
23.ใช้แสงแดดให้เป็นประโยชน์ ในการตากเสื้อผ้าที่ซักแล้วให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปั่นผ้าแห้งหากไม่จำเป็น เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า
24.ใช้น้ำประปาอย่างประหยัด เพราะระบบการผลิตน้ำประปาของเทศบาลต่างๆ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำให้น้ำสะอาด และดำเนินการจัดส่งไปยังอาคารบ้านเรือน
25.ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำที่ปรับความแรงน้ำต่ำๆ ได้ เพื่อจะได้เปลืองน้ำอุ่นน้อยๆ (เหมาะทั้งในบ้านและโรงแรม)
26.ติดตั้งเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากโรงผลิตกระแสไฟฟ้า
27.สร้างนโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเต็มที่ เป็นการลดพลังงานในการกำจัดขยะ ลดมลพิษและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการกำจัด
28.ป้องกันการปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ ด้วยการแยกขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เศษอาหาร ออกจากขยะอื่นๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
29.ทาหลังคาบ้านด้วยสีอ่อน เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อน
30.นำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคารบ้านเรือน โดยใช้การออกแบบบ้าน และตำแหน่งของช่องแสงเป็นปัจจัย ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหลอดไฟและพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้
31.ปลูกต้นไม้ในสวนหน้าบ้าน ต้นไม้ 1 ต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมัน
32.ปลูกไผ่แทนรั้ว ต้นไผ่เติบโตเร็ว เป็นรั้วธรรมชาติที่สวยงาม และยังดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี
33.ใช้ร่มเงาจากต้นไม้ช่วยลดความร้อนในตัวอาคารสำนักงานหรือบ้านพักอาศัย ทำให้สามารถลดความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นการลดการใช้ไฟฟ้า
34.ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในสวนไม้ประดับที่บ้าน แต่ขอให้เลือกใช้ปุ๋ยหมักจากธรรมชาติแทน
35.ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก เพราะถุงพลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และการเผากำจัดในเตาเผาขยะอย่างถูกวิธีต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีก๊าซเรือนกระจกเพิ่มในบรรยากาศ
36.เลือกซื้อสินค้าที่มี***บห่อน้อยๆ ***บห่อหลายชั้นหมายถึงการเพิ่มขยะอีกหลายชิ้นที่จะต้องนำไปกำจัด เป็นการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโดยไม่จำเป็น
37.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อเติมใหม่ได้ เพื่อเป็นการลดขยะจาก***บห่อของบรรจุภัณฑ์
38.ใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า เพราะกระบวนการผลิตกระดาษแทบทุกขั้นตอนใช้พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้าจำนวนมาก
39.เลือกใช้กระดาษรีไซเคิล กระดาษรีไซเคิลช่วยลดขั้นตอนหลายขั้นตอนในกระบวนการผลิตกระดาษ
40.ตั้งเป้าลดการผลิตขยะของตัวเองให้ได้ 1 ใน 4 ส่วน หรือมากกว่า เพื่อช่วยประหยัดทรัพยากรและลดก๊าซเรือนกระจกได้อีกจำนวนมาก เมื่อลองคูณ 365 วัน กับจำนวนปีที่เหลือก่อนเกษียณ
41.สนับสนุนสินค้าและผลิตผลจากเกษตรกรในท้องถิ่นใกล้บ้าน ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่ไม่ต้องขนส่งผลิตผลให้พ่อค้าคนกลางนำไปขายในพื้นที่ไกลๆ
42.บริโภคเนื้อวัวให้น้อยลง ทานผัก (ปลอดสารพิษ) ให้มากขึ้น ฟาร์มเลี้ยงวัว คือ แหล่งหลักในการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ หันมารับประทานผักให้มากขึ้น ทานเนื้อวัวให้น้อยลง
43.ทานสเต๊กและแฮมเบอร์เกอร์ในร้านใหญ่ๆ ให้น้อยลง เพราะอุตสาหกรรมเนื้อระดับนานาชาติ ผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง 18% สาเหตุหลักก็คือไนตรัสออกไซด์จากมูลวัวและมีเทน ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากลักษณะทางธรรมชาติของวัวที่ย่อยอาหารได้ช้า (มีกระเพาะอาหาร 4 ตอน) มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า ในขณะที่ไนตรัสออกไซด์ก่อผลได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 296 เท่า
44.ชักชวนคนอื่นๆ รอบข้างให้ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาภาวะโลกร้อน ให้ความรู้ความเข้าใจและชักชวนคนใกล้ตัว รวมทั้งเพื่อนบ้านรอบๆ ตัวคุณ เพื่อขยายเครือข่ายผู้ร่วมหยุดโลกร้อนให้กว้างขวางขึ้น
45.ร่วมกิจกรรมรณรงค์สิ่งแวดล้อมในชุมชน แล้วลองเสนอกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการร่วมมือ เพื่อลงมือทำกิจกรรมสิ่งแวดล้อมที่ต่อเนื่อง และส่งผลให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
46.เลือกโหวตแต่พรรคการเมืองที่มีนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน จริงใจ และตั้งใจทำจริง เพราะนักการเมืองคือคนที่เราส่งไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร โปรดใช้ประโยชน์จากพวกเขาตามสิทธิที่คุณมี ด้วยการเลือกนักการเมืองจากพรรคการเมืองที่มีนโยบายชัดเจนเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดปัญหาโลกร้อน
47.ซื้อให้น้อยลง แบ่งปันให้มากขึ้น อยู่อย่างพอเพียง

เกษตรกร ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา
ก็สามารถช่วยได้ด้วยการ
48.ลดการเผาป่าหญ้า ไม้ริมทุ่ง และต้นไม้ชายป่า เพื่อกำจัดวัชพืชและเปิดพื้นที่ทำการเกษตร เพราะเป็นการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศจำนวนมาก นอกจากนั้นการตัดและเผาทำลายป่ายังเป็นการทำลายแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ
49.ปลูกพืชผักให้หลากหลายและปลูกตามฤดูกาลในท้องถิ่น เป็นการลดการปลูกพืชผักนอกฤดูกาลที่ต้องใช้พลังงานเพื่อถนอมอาหาร และผ่านกระบวนการบรรจุเป็นอาหารกระป๋อง
50.รวมกลุ่มสร้างตลาดผู้บริโภค-ผู้ผลิตโดยตรงในท้องถิ่น เพื่อลดกระบวนการขนส่งผ่านพ่อค้าคนกลาง ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำมันในการคมนาคมขนส่งพืชผักผลไม้ไปยังตลาด
51.ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร นอกจากจะเป็นการลดปัญหาการปลดปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศโลกแล้ว ในระยะยาวยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต และทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น โปรดปรึกษาและเรียนรู้จากกลุ่มเกษตรกรทางเลือกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย

สถาปนิกและนักออกแบบ
52.ออกแบบพิมพ์เขียวบ้านพักอาศัยที่สามารถช่วย “หยุดโลกร้อน” การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยคิดถึงการติดตั้งระบบการใช้พลังงานที่ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสูงๆ แต่ใช้งานได้จริง ลองคิดถึงวิธีการที่คนรุ่นปู่ย่าใช้ในการสร้างบ้านสมัยก่อน ซึ่งมีการพึ่งพาทิศทางลม การดูทิศทางการขึ้น-ตกของดวงอาทิตย์ อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานในบ้านได้ถึง 40%
53.ช่วยออกแบบสร้างบ้านหลังเล็ก บ้านหลังเล็กใช้พลังงานน้อยกว่าบ้านหลังใหญ่ และใช้วัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างน้อยกว่า

สื่อมวลชน นักสื่อสารและโฆษณา
54.ใช้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพเพื่อให้ความรู้ และสร้างความตระหนักกับสาธารณชนเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกร้อน และทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นของท้องถิ่น
55.สร้างความสนใจกับสาธารณชน เพื่อทำให้ประเด็นโลกร้อนอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง
56.ช่วยกันเล่าความจริงเรื่องโลกร้อน โปรดช่วยกันสื่อสารให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น
57.เป็นผู้นำกระแสของสังคมเรื่องชีวิตที่พอเพียง ต้นตอหนึ่งของปัญหาโลกร้อนก็คือกระแสการบริโภคของผู้คน ทำให้เกิดการบริโภคทรัพยากรจำนวนมหาศาล ชีวิตที่ยึดหลักของความพอเพียง โดยมีฐานของความรู้และคุณธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงน่าจะเป็นหนทางป้องกันและลดปัญหาโลกร้อนที่สังคมโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่
58.ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อร่วมรับผิดชอบสังคม ออกแบบงานโฆษณาที่สอดแทรกประเด็นปัญหาของภาวะโลกร้อนอย่างมีรสนิยม เรื่องที่เป็นจริงและไม่โกหก
ครู อาจารย์
59.สอนเด็กๆ ในขั้นเรียน เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน
60.ใช้เทคนิคการเรียนรู้หลากหลายจากกิจกรรม ดีกว่าสอนโดยให้เด็กฟังครูพูดและท่องจำอย่างเดียว

นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกร
61ค้นคว้าวิจัยหาแนวทางและเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
62.ศึกษาและทำวิจัยในระดับพื้นที่ เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อพื้นที่เสี่ยงของประเทศไทย
63.ประสานและทำงานร่วมกับนักสื่อสารและโฆษณา เพื่อแปลงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปสู่การรับรู้และเข้าใจของประชาชนในสังคมวงกว้าง

นักธุรกิจ อุตสาหกรรมและบริการ
64.นำก๊าซมีเทนจากกองขยะมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ด้วยการลงทุนพัฒนาให้เป็นพลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพ แต่มีต้นทุนต่ำ
65.สนับสนุนนักวิจัยในองค์กร ค้นคว้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพในการลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
66.เป็นผู้นำของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม หากยังไม่มีใครเริ่มต้นโครงการที่ช่วยหยุดปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ก็จงเป็นผู้นำเสียเอง
67.สร้างแบรนด์องค์กรที่เน้นการดูแลและใส่ใจโลก ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความรับผิดชอบที่มาจากภายในองค์กร

นักการเมือง ผู้ว่าราชการฯ และรัฐบาล
68.วางแผนการจัดหาพลังงานในอนาคต รัฐจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทางเลือกเพื่อมุ่งจัดการแก้ไขปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่มองไปข้างหน้าอย่างน้อยที่สุด 50 ปี
69.สนับสนุนให้มีการพัฒนาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งการสนับสนุนงบประมาณในการวิจัย และการพัฒนาระบบให้มีต้นทุนต่ำและคุ้มค่าในการใช้งาน
70.สนับสนุนกลไกต่างๆ สำหรับพลังงานหมุนเวียน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงเทคโนโลยีและการลดต้นทุน
71.สนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน รัฐบาลควรหามาตรการที่ชัดเจนในการสนับสนุนอุตสาหกรรมหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพื่อให้สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมพลังงานอื่นๆ ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ
72.มีนโยบายทางการเมืองที่ชัดเจนในการสนับสนุนการ “หยุดภาวะโลกร้อน” เสนอต่อประชาชน
73.สนับสนุนโครงสร้างทางกายภาพ เมื่อประชาชนตระหนักและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น จัดการให้มีโครงข่ายทางจักรยานที่ปลอดภัยให้กับประชาชนในเมืองสามารถขับขี่จักรยาน ลดการใช้รถยนต์
74.ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนถนนในกรุงเทพมหานครอย่างจริงจัง ด้วยการสนับสนุนระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ
75.ส่งเสริมเครือข่ายการตลาดให้กับกลุ่มเกษตรกรทางเลือก เกษตรกรจำนวนมากเป็นตัวอย่างที่ดีของการลดปัญหาโลกร้อน ด้วยการลดและเลิกการใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการปลดปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศโลก ซึ่งการส่งเสริมการตลาดสีเขียวด้วยการสร้างเครือข่ายการตลาดที่กระจายศูนย์ไปสู่กลุ่มจังหวัดหรือภูมิภาค จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการขนส่งผลผลิตไปยังตลาดไกลๆ อีกด้วย
76.ริเริ่มอย่างกล้าหาญกับระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ เพื่อลงทุนกับทางเลือกและทางรอดในระยะยาว
77.พิจารณาใช้กฎหมายการเก็บภาษีเป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) สำหรับภาคอุตสาหกรรม
78.เปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บภาษี นั่นคือการสร้างระบบการจัดเก็บภาษีที่สามารถสะท้อนให้เห็นต้นทุนทางอ้อมจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้สังคมต้องแบกรับภาระนั้นอย่างชัดเจน เช่น ภาษีที่เรียกเก็บจากถ่านหิน ก็จะต้องรวมถึงต้นทุนในการดูแลรักษาสุขภาพที่จะต้องเพิ่มขึ้นจากปัญหามลพิษ และต้นทุนความเสียหายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
79.ปฏิรูปภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นก้าวต่อไปที่ท้าทายของนักการเมืองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างใหญ่หลวงในการปรับเปลี่ยนและสร้างจิตสำนึกใหม่ให้สังคม การเพิ่มการจัดเก็บภาษีสำหรับกิจกรรมที่มีผลทำลายสภาพแวดล้อมให้สูงขึ้นเป็นการชดเชย เช่น กิจกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอน ภาษีจากกองขยะ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ปัจจุบันนี้ประเทศใหญ่ๆ ในสหภาพยุโรปก็ร่วมดำเนินการด้วย และพบว่าการปรับเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนระดับการจัดเก็บภาษี หากแต่มีผลกับโครงสร้างของระบบภาษีเท่านั้น
80.กำหนดทิศทางประเทศให้มุ่งสู่แนวทางของการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ที่สามารถยืนหยัดอยู่รอดอย่างเข้มแข็งในสังคมโลก เริ่มต้นด้วยการใส่ประโยคที่ว่า ประเทศไทยจะต้องยึดหลักเศรษฐกิจตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแกนหลักของการพัฒนาประเทศไว้ในรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
อย่ามัวแต่ให้คนดังๆ รณรงค์โดยที่เราไม่ยอมทำอะไร เพราะทุกคนมีส่วนและมีสิทธิในการช่วยเหลือโลกนี้ได้เท่าๆ กัน

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

คุณรู้หรือไม่ว่า

ช่อกุหลาบสื่อความหมาย(นะจ้ะ)
จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้
จำนวนดอกกุหลาบ 1 ดอก แสดงความหมาย "รักแรกพบ"
จำนวนดอกกุหลาบ 2 ดอก แสดง"ความรู้สึกที่ดีต่อกัน"
จำนวนดอกกุหลาบ 3 ดอก แสดง "ฉันรักเธอ"
จำนวนดอกกุหลาบ 7 ดอก แสดง "คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์"
จำนวนดอกกุหลาบ 9 ดอก แสดง "เราสองคนจะรักกันตลอดไป"
จำนวนดอกกุหลาบ 10 ดอก แสดง"คุณเป็นคนที่ดีเลิศ"
จำนวนดอกกุหลาบ 11 ดอก แสดง"คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน"
จำนวนดอกกุหลาบ 12 ดอก แสดง"ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว"
จำนวนดอกกุหลาบ 13 ดอก แสดง"มีความเป็นเพื่อนแท้เสมอ"
จำนวนดอกกุหลาบ 15 ดอก แสดง"ฉันรู้สึกเสียใจจริง ๆ "
จำนวนดอกกุหลาบ 20 ดอก แสดง"ฉันมีความจริงใจต่อเธอ"
จำนวนดอกกุหลาบ 21 ดอก แสดง"ชีวิตนี้ฉันมอบเพื่อเธอ"
จำนวนดอกกุหลาบ 36 ดอก แสดง"ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน"
จำนวนดอกกุหลาบ 40 ดอก แสดง"ความรักของฉันเป็นรักแท้"
จำนวนดอกกุหลาบ 99 ดอก แสดง"ฉันรักเธอจนวันตาย"
จำนวนดอกกุหลาบ 100 ดอก แสดง"ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ"
จำนวนดอกกุหลาบ 101 ดอก แสดง"ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น"
จำนวนดอกกุหลาบ 108 ดอก แสดง"คุณจะแต่งงานกับฉันไหม"
จำนวนดอกกุหลาบ 999 ดอก แสดง"ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย"

จำนวนดอกกุหลาบ 9999 ดอก แสดงให้เห็นว่า"ที่บ้านฉันทำธุรกิจค้าส่งดอกกุหลาบอยู่ปากคลองตลาด"

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ไบโอพลาสติกคืออะไร


ไบโอพลาสติกคือ พลาสติกย่อยสลายได้ กล่าวคือเป็นพลาสติกที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีภายใต้สภาวะแวดล้อมที่กำหนดไว้เฉพาะ ก่อให้เกิดการสูญเสียสมบัติบางประการ ซึ่งสามารถวัดการย่อยสลายได้โดยใช้วิธีการทดสอบมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับพลาสติกและการใช้งานในช่วงเวลาหนึ่ง ผลการทดสอบสามารถนำมาใช้ในการระบุชนิด และประเภทของพลาสติกย่อยสลายได้

ดังนั้นพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพคืออะไร
คำตอบคือ พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็น พลาสติกย่อยสลายชนิดหนึ่งที่มีกลไกการย่อยสลาย ด้วยเอนไซม์ และแบคทีเรียในธรรมชาติ ซึ่งเมื่อย่อยสลายหมดแล้วจะได้ผลิตภัณฑ์เป็น น้ำ มวลชีวภาพ ก๊าซมีเทน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นในการเจริญเติบโตและดำรงชีวิตของพืช ซึ่งรวมถึงมันสำปะหลังและ ข้าวโพด ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ดังนั้นวงจรของพลาสติกชีวภาพจึงมีรูปแบบคือ
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพจะมีสมบัติต่างๆ ในการใช้งาน เช่นเดียวกับพลาสติกโดยทั่วไป แต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่เมื่อทิ้งพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพนี้ไปเป็นขยะซึ่งจะอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมคือมีแบคทีเรียและเอนไซม์ พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ก็จะเกิดการย่อยสลายได้ ซึ่งผู้บริโภคบางรายที่กลัวว่าพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพนี้จะเกิดการย่อยสลายไปในขณะที่ใช้งานทำให้อายุการใช้งานสั้นไม่คุ้มค่าในการใช้งานนั้น ก็ไม่ต้องกังวลในจุดนี้อีกต่อไป เพราะตราบใดที่เราไม่ทิ้งพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพนี้ให้เป็นขยะโดยเฉพาะเมื่อถูกฝังกลบ ในสภาวะที่เหมาะสมกับการย่อยสลาย ก็จะไม่เกิดการย่อยสลาย พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่มีแนวโน้มทางการทำตลาดที่ดี และมีการผลิตเพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Polylactic Acid หรือ PLA และ Polyhydroxyalcanoates หรือ PHAs ซึ่งเป็นพลาสติกที่ได้จากธรรมชาติ คือใช้กระบวนการทางชีวเคมีในการเปลี่ยนสภาพจากแป้งที่ได้จากมันสำปะหลังและข้าวโพด ให้เป็นพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ นอกจากพลาสติก 2 ชนิดนี้แล้ว ยังมีพลาสติกย่อยสลายอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดเช่นกัน นั่นคือ poly (butylene adipate-co-terephthalate) ซึ่งเป็น polymer ที่ได้จากวัตถุดิบปิโตรเคมี ผลิตโดยบริษัท BASF ประเทศเยอรมนี มีสมบัติที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพเช่นเดียวกับพลาสติกทั้ง 2 ชนิดข้างต้นซึ่งได้มาจากพืชธรรมชาติ

นวัตกรรมใหม่ “บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย” จากสิ่งไร้ค่า..เพิ่มมูลค่ามหาศาล

ในบรรดาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร มีหลายอย่างที่ถูกนำมาทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม จนกระทั่งกลายเป็นรูปแบบสินค้าประเภทต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือ “บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย” เป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร ชนิด Biodegradable ซึ่งเป็นผลงานของ “บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด” ที่ใช้ระยะเวลา 4 ปี ในการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขึ้นใหม่ เทคโนโลยีการผลิตที่กล่าวถึงนี้ เป็นกระบวนการผลิตที่ประหยัดพลังงานเพราะใช้ไอน้ำ ไม่ใช้ไฟฟ้า ซึ่งไม่ก่อให้เกิดของเสียจากกระบวนการผลิต จึงเรียกได้ว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนายแพทย์วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด เปิดเผยถึงที่มาแนวความคิดในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ว่า ปัจจุบันโลกร้อนขึ้นทุกวัน พวกโฟม พลาสติกถือว่าเป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งที่เป็นสิ่งไม่ดีต่อสุขภาพ อีกทั้งไม่สามารถย่อยสลายได้หรือไม่ก็ต้องใช้เวลานับพันปี กว่าจะมีการย่อยสลายดังนั้นบริษัทจึงพยายามคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ทดแทนพลาสติกและโฟม จนในที่สุดก็พบว่า ชานอ้อยมีคุณสมบัติที่สามารถผลิจเป็นบรรจุภัณฑ์ประประเภทต่างๆ ได้ ทั้งหมดก็เลยกลายมาเป็นที่มาของ “บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย” “บรรจุภัณพ์จากชานอ้อยใช้บรรจุอาหารที่ทำจากเยื่อกระดาษชานอ้อย ที่ทางเรารับเยื่อชานอ้อยมาจากโรงงานน้ำตาล และในขณะนี้เรามีบรรจุภัณฑ์ให้เลือกมากกว่า 70 แบบ ทั้งประเภทจานขนาดต่างๆ ชามขนาดต่างๆ ถาดขนาดต่างๆ ถ้วยน้ำและกล่องมีฝาปิด อีกทั้งยังสามารถขึ้นแบบได้ตามความต้องการ โดยความน่าสนใจของ “บรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย” คือ มีคุณสมบัติที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติภายใน 45 วันเมื่อถูกฝังลงดิน ทำให้ไม่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารพิษปนเปื้อน เพราะใช้เยื่อกระดาษที่ไม่มีคลอรีนในการฟอกสี คือ กระบวนการ ECF ซึ่งในขณะนี้เป็นเจ้าเดียวในโลกที่ใช้ นอกจากนี้ยังสามารถใส่อาหารได้ทั้งร้อนและเย็น ใช้ได้กับตู้อบและเตาไมโครเวฟได้อีกด้วย โดยวิธีการผลิตมีดังต่อไปนี้” นายแพทย์วีรฉัตรกล่าวจากกระบวนการผลิตที่เรียบง่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้เยื่อกระดาษชานอ้อยจากธรรมชาติที่ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสี(ECF) จึงมั่นใจในความสะอาดและปลอดภัยจากสารพิษปนเปื้อนและไม่ก่อให้เกิดของเสียจากกระบวนการการผลิต บรรจุภัณฑ์ทุกชิ้นได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสงUV ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค” นายแพทย์วีรฉัตรกล่าวนายแพทย์วีรฉัตรกล่าวว่าการหันมาจับธุรกิจในครั้งนี้ เป็นการตอบโจทย์ตลาด 2 อย่าง คือ ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและเรื่องของสุขภาพ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องอยู่ในเทรนด์ที่ตลาดโลกให้ความสำคัญ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ประเภทย่อยสลายได้ด้วยธรรมชาติมีจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยใช้ชานอ้อยผสมกับเยื่อต้นกก ส่วนที่มาเลเชียจะใช้เยื่อปาล์มในการผลิต ถ้าประเทศฝั่งยุโรปจะใช้ยูคาลิปตัน“ตอนนี้ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีการผลิตใช้เยื่อชานอ้อย ของเราถือว่าดีที่สุด เพราะในแง่ความสะอาด ความสวยงาม ความแข็งแรงและความปลอดภัยมีมากว่าผู้ผลิตรายอื่น เนื่องจากเราใช้เยื่อชานอ้อย 100% ในการผลิต และบริษัทฯ มีกำลังการผลิตสินค้า 200 ล้านชิ้นต่อปี โดยใช้ชานอ้อยใน 1 ปี ประมาณ 3000 ตัน ซึ่ง 70% ส่งออกไปต่างประเทศ อีก 30% เป็นตลาดภายในประเทศ” นายแพทย์วีรฉัตรกล่าวกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีการผลิตบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย ได้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งในด้านการเกษตร ด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม อาทิเช่น ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เพิ่มเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าให้กับชานอ้อยที่เป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร พร้อมทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาลผู้ปวดโรงมะเร็งที่มีสาเหตุมากจากการบริโภคสารพิษปนเปื้อนจากภาชนะที่ทำจากโฟมและพลาสติกนับเป็นความภาคภูมิใจที่ “บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด” สามารถสร้างเทคโนโลยี เพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร นั่นคือ ชานอ้อย

ลอง

ลองเขียนดูอีกที

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

The Biggest looser (ตัวฉันเอง)

วันนี้พยายามจะเขียนบล้อคไม่รู้ทำยังไงดีงมมาครึ่งวันแล้วเขียนไงดี